Pi Daily บทวิเคราะห์ประจำวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567
บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน)
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯปรับลงพร้อมกับ FED Watch ให้น้ำหนักปรับลดดอกเบี้ยมากขึ้น มองบวกกับตลาดหุ้นโดยเฉพาะฝั่ง EMตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 138 จุด (-0.3%) ขณะที่ดัชนี Nasdaq ก็ปิดในแดนลบเช่นกันเนื่องจากนักลงทุนกังวลต่อการปรับลดดอกเบี้ยของ FED ที่อาจไม่มากนัก ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 0.03% หลังจากสหรัฐฯรายงานสต็อกน้ำมันดิบมากกว่าที่คาดการณ์ไว้
เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯได้รายงานเงินเฟ้อ (PCE) พบว่าขยายตัว 2.3%YoY , 0.2%MoM และสอดคล้องกับที่ Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้ ด้านเงินเฟ้อพื้นฐานขยายตัว 2.8%YoY , 0.3%MoM ก็สอดคล้องกับที่ Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้เช่นกัน
นอกจากนี้ ยังได้รายงานตัวเลข GDP ไตรมาส 3 (ครั้งที่ 2) แต่ก็พบว่าสอดคล้องกับที่ Bloomberg Consensus ประเมินไว้เช่นกัน พบว่าการบริโภคยังแข็งแกร่ง (+5.6%QoQ) และดีขึ้นจาก 2Q24 ที่ 3%QoQ พร้อมกับเร่งขึ้นในสินค้าคงทน (+7.6%QoQ) เร่งขึ้นจาก 2Q24 ที่ 5.5%QoQ แต่อย่างไรก็ตามการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวเพียง 1.1%QoQ ลดลงจาก 2Q24 ที่ 8.3%QoQ
โดยพบว่า การลงทุนในที่อยู่อาศัย -5.5%QoQ ลดลงมากขึ้นเพราะ 2Q24 อยู่ที่ -2.8%QoQ แต่การนำเข้ายังขยายตัวเด่น (+10%QoQ) ดีขึ้นจาก 2Q24 ที่ 8.4%QoQ ภายหลังจากทราบข้อมูลทั้งหมดพบว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 2 , 10 ปีค่อยๆปรับลง สะท้อนมุมมองเชิงบวกจากนักลงทุนต่อการผ่อนคลายเงินเฟ้อและดอกเบี้ย ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากราคาน้ำมันที่ปรับลงเพราะคลายกังวลตะวันออกกลางรวมไปถึง Trump มีแผนจะปรับขึ้นภาษีจีนแต่เป็นอัตราที่ไม่สูงมากขึ้น และสุดท้ายตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆที่ออกมา
นักลงทุนยังประเมินว่า มิได้ร้อนแรงจนเกินไป เป็นผลให้ CME FED Watch เริ่มกลับมาให้น้ำหนักปรับลดดอกเบี้ยมากถึง โดยให้น้ำหนักราว 64.7% ที่ FED จะปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ธ.ค. เร่งขึ้นจากก่อนหน้าที่ 55% ภาวะเช่นนี้มองเป็นบวกกับตลาดหุ้นทั้งฝั่งสหรัฐฯและเอเชีย โดยเฉพาะไทยที่ปรับฐานลงมาก่อนหน้าพร้อมกับนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย เมื่อประกอบกับสถิติหุ้นไทยที่เดือน ธ.ค. มักให้ผลตอบแทนเป็นบวกจึงยังคาดหวังต่อการฟื้นตัวตลาดหุ้นไทยหลังจากนี้
วันนี้ ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1425 – 1440 ทั้งนี้ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนยังแนะทยอยสะสมเช่นเดิมมองระดับ Valuation หุ้นไทยน่าสนใจและเศรษฐกิจไทยค่อยๆฟื้นตัวพร้อมกับความหวังระยะสั้นต่อทิศทางดอกเบี้ยที่ดูผ่อนคลายมากขึ้น เน้นที่กลุ่มอิงการบริโภค (BJC CRC CPALL DOHOME) ท่องเที่ยว (AOT CENTEL MINT) ศูนย์การค้า (CPN) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) การเงิน (MTC SAWAD) คืนนี้ไม่มีปัจจัยที่ต้องติดตามโดยรอติดตามตลาดแรงงานสหรัฐฯในสัปดาห์หน้าจะเป็นอีกปัจจัยชี้ต่อทิศทางดอกเบี้ยที่ชัดเจนมากขึ้น
CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 80.00 บาท)
หลังหักรายการพิเศษจะมีกำไรปกติ 6.2 พันล้านบาท (+45%YoY) ดีกว่าที่เราและตลาดคาด 9% หนุนจากยอดขายสาขาเดิมของ 7-11 ที่เติบโต 3.3%YoY จากยอดขายกลุ่มอาหารพร้อมทานและ Personal Care ที่เติบโตดี รวมกับการเติบโตของกำไรของ CPAXT จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Makro +1.5% และ Lotus’s +2.3%) ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 4Q24 จะเติบโต YoY และ QoQ ต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยว
CRC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 40.00 บาท)
ธุรกิจค้าปลีกอาหาร (41% ของยอดขายรวม) มียอดขาย 2.3 หมื่นล้านบาท (+12%YoY) ใน 3Q24 ผลจากการเพิ่มขึ้นของยอดขาย Go Wholesale และมีขยายสาขา Go Wholesale เพิ่มอีก 2 สาขาใน 3Q24 แม้ว่า SSSG กลุ่มค้าปลีกอาหารที่ -1%YoY (ไทย +1 และ เวียดนาม -3%) EBITDA สำหรับธุรกิจค้าปลีกอาหารลดลง YoY เป็น 1.6 พันล้านบาท (-14%YoY) ผลจากค่าใช้จ่ายการขยายสาขา Go Wholesale