นภินทร แจงโลกไม่ลืม โชว์ผลงาน ดันส่งออกทุเรียน เพิ่มรายได้ SME ขจัดนอมินี สกัดสินค้าห่วย
นภินทร แจงไม่ได้เป็นรัฐมนตรีโลกลืม มีผลงานจับต้องได้ ทั้งการแก้ไขปัญหาผลไม้ติดหน้าด่านเวียดนาม-จีน เปิดทางส่งออกทุเรียนฉลุย ดันใช้มาตรการเชิงรุกดูแลเกษตรแทนประกันรายได้ ทำราคาพุ่ง ส่งเสริม SME เพิ่มสัดส่วนจีดีพีเป็น 40% ในปี 70 ด้วยการเพิ่มโอกาสทางการตลาด ผลักดันขึ้นทะเบียน GI ยกระดับสินค้าชุมชนสู่พรีเมียม แก้ปัญหามิจฉาชีพ-บัญชีม้านิติบุคคล สินค้านำเข้าที่ไม่มีคุณภาพ รับผลงานอาจไม่ได้อยู่ในกระแส แต่ประชาชนได้ประโยชน์ ก็ถือเป็นผลงาน
นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงกรณีที่ได้รับฉายารัฐมนตรีโลกลืม ว่า ตนเข้าใจว่าเป็นบุคคลสาธารณะ มีโอกาสที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่ก็เป็นโอกาสที่จะได้พูดให้ทุกคนได้ทราบถึงผลงานที่ได้ทำมาตลอดทั้งปี 2567 ที่ถือเป็นผลงานที่เกษตรกร ผู้ประกอบการ SME และประชาชนได้ประโยชน์ โดยในการดูแลสินค้าเกษตรสำคัญ เช่น ผลไม้ ได้เดินทางไปเจรจาที่ด่านรถไฟรถไฟด่งดัง จังหวัดลางเซิน ด่านรถไฟสากลหูหงิ ที่มีการผ่านพิธีศุลกากรขาเข้าและขาออก
จากเวียดนามเข้าสู่ด่านโหยวอี้กวาน เมืองผิงเสียง ประเทศจีน เพื่อให้ทั้งสองประเทศอำนวยความสะดวกกับขบวนขนส่งทุเรียนไทยช่วงผลผลิตออกมาก ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี ทำให้เมื่อช่วงเดือน พ.ค.2567 ที่ผ่านมา ราคาทุเรียนไทย ได้ราคาหน้าสวนดีถึงกิโลกรัมละ 230 บาท
ทั้งนี้ ยังได้ผลักดันการใช้มาตรการบริหารจัดการเชิงรุกของกระทรวงพาณิชย์ แทนการประกันรายได้สินค้าเกษตร โดยให้กลไกตลาดทำงานได้อย่างสมดุล ลดการใช้งบประมาณของรัฐไปได้กว่า 101,000 ล้านบาท และเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรและเพิ่มรายได้เกษตรกรกว่า 200,000 ล้านบาท
ส่วนผู้ประกอบการ SME กระทรวงพาณิชย์ได้ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการตลาดของ SME เป็น 40% ในปี 2570 เพราะปัจจุบัน SME ไทยมีจำนวนเยอะมาก คิดเป็นสัดส่วน 99.5% ของผู้ประกอบการทั้งหมด การเพิ่มสัดส่วนการตลาดให้ SME ถือเป็นการเพิ่มสัดส่วนทางเศรษฐกิจของทั้งประเทศ ทำให้คนไทยได้มีรายได้ มีความกินดี อยู่ดี ได้จริง ซึ่งที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ กำลังดำเนินการอยู่
โดยสิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมแล้ว ได้แก่ การจัดงาน ‘มหกรรมรวมพลัง SME ไทย’ เมื่อเดือน มิ.ย.2567 จำนวน 5 วัน มีการเจรจาจับคู่ธุรกิจ เพื่อต่อยอดและสร้างตลาดใหม่ๆ จำนวน 193 ล้านบาท และมีการจำหน่ายสินค้าและบริการ 7.2 ล้านบาท รวมมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทันทีกว่า 200 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีการเร่งการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) เพื่อเพิ่มมูลค่าและหาตลาดพรีเมียมให้กับสินค้าชุมชน โดยในปี 2567 ได้มีการขึ้นทะเบียนสินค้า GI เพิ่มทั่วประเทศ 25 รายการ รวมสินค้า GI ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนทั้งหมด 216 รายการ และภายใน 1 ปี สร้างมูลค่าตลาดเพิ่มกว่า 22,000 ล้านบาท โดยมีมูลค่าตลาดทั้งสิ้นกว่า 77,000 ล้านบาท ถือว่าสร้างมูลค่าให้กับสินค้าชุมชนสูงที่สุดตั้งแต่มีการขึ้นทะเบียนสินค้า GI มา
นายนภินทร กล่าวว่า ได้มีการแก้ไขปัญหาใหญ่ระดับชาติอีก คือ ปัญหาธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว หรือนอมินี ที่เข้าข่ายเป็นอาชญากรข้ามชาติ ทำลายระบบเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ของประเทศไทย ที่ใกล้ตัวเราที่สุด คือ ปัญหาการเปิดบัญชีม้าของนิติบุคคลและการใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง
ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) สำนักงานป้องกันและปราบปรางการฟอกเงิน (ปปง.) ปราบปรามผู้กระทำความผิดไปแล้วกว่า 747 ราย โดยมีมูลค่าความเสียหายกว่า 11,720 ล้านบาท และยังยังเดินหน้าตรวจสอบการจดทะเบียนนิติบุคคลเพื่อป้องกันปัญหา และร่วมปราบปรามผู้กระทำผิดที่เปลี่ยนวิธีการในรูปแบบต่างๆ ที่ใช้หลอกลวงประชาชนอย่างต่อเนื่อง
สำหรับ ปัญหาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศ ได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บังคับใช้มาตรการตรวจสอบคุณภาพสินค้าที่เข้าสู่ประเทศไทยอย่างเข้มข้น ทำให้รัฐจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้จำนวน 823 ล้านบาท และมูลค่าการนำเข้าสินค้าลดลงเหลือ 2,279 ล้านบาทต่อเดือน ลดลง 27% จากเดิมที่มีการนำเข้า 3,112 ล้านบาทต่อเดือน ทำให้ SME ไทยแข่งขันได้ดีขึ้น
“ขอฝากสื่อมวลชน ช่วยกันนำเสนอผลงานต่างๆ ที่ผมได้ทำไปในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบ ผลประโยชน์ที่พวกเขาจะได้รับจากการดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์ ภายใต้นโยบายรัฐบาล ถึงแม้ผลงานต่าง ๆ อาจจะไม่ได้อยู่ในกระแสข่าวทำให้ได้ฉายารัฐมนตรีโลกลืม แต่ขอให้พี่น้องประชาชนได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ ผมก็ถือว่าเป็นผลงาน”นายนภินทรกล่าว