นภินทร รมช.พาณิชย์ โชว์ผลงานเด่นปี 67 หลังได้รับฉายา'รมต.โลกลืม'จากสื่อ
รมช.พาณิชย์ นภินทร โชว์ผลงานเด่นปี 2567 ใช้มาตรการบริหารจัดการสินค้าเกษตรพืชหลัก-พืชรอง แทนการประกันรายได้ ลดเงินงบประมาณรัฐไปกว่า 101,000 ล้านบาท แก้ไขปัญหาผลไม้ติดค้างหน้าด่านโดยเจรจาด่านตรวจสินค้าเกษตร เวียดนาม-จีน ตลาดใหญ่ทุเรียนไทย ทำให้ “ผลไม้ไทยราคาดีที่สุดเป็นประวัติการณ์ มีมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 2 แสนล้านบาท ยกระดับสินค้าไทยโดยขึ้นทะเบียนสินค้า GI ในปี 2567 เพิ่มทั่วประเทศ 25 รายการ สร้างมูลค่าตลาดเพิ่มกว่า 22,000 ล้านบาท
เดินหน้าแก้ปัญหาเรื้อรังเรื่อง 'นอมินี' ร่วมกับ CIB จับ 'มิจฉาชีพ-บัญชีม้า' ที่เป็นนอมินีสวมชื่อนิติบุคคลหลอกประชาชน รวมทั้งแก้ไขปัญหาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศ โดยการบังคับใช้มาตรการตรวจสอบคุณภาพสินค้าที่เข้าสู่ประเทศไทยอย่างเข้มข้น นอกจากนี้ยังได้ช่วยสร้างโอกาสให้กับ SMEs จากการจัดกิจกรรม มหกรรมรวมพลัง SME ไทย 5 วัน เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจทันทีกว่า 200 ล้านบาท”
วันอังคารที่ 24 ธันวาคม 2567 นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยกับสื่อมวลชนก่อนเข้าประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ทำเนียบรัฐบาล หลังตนเป็นหนึ่งที่ได้รับฉายา'รมต.โลกลืม'จากสื่อ ว่า “ผมเข้าใจว่าเป็นบุคคลสาธารณะ มีโอกาสที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่ก็เป็นโอกาสที่ผมจะได้พูดให้ทุกคนได้ทราบถึง ผลงานที่ผมได้ทำมาตลอดทั้งปี 2567 ที่ผมถือว่า เป็นผลงานที่ประชาชนได้ประโยชน์ เพราะกระทรวงพาณิชย์เรามีหน้าที่ดูแลพี่น้องประชาชน
โดยเฉพาะพี่น้องเกษตรกร ที่ตลอดทั้งปี 67 สินค้าเกษตรได้ราคาดี พี่น้องเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น ช่วยลดภาระหนี้สิน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการใช้มาตรการบริหารจัดการในเชิงรุกของกระทรวงพาณิชย์ แทนการประกันรายได้สินค้าเกษตร โดยผมให้กลไกตลาดทำงานใด้อย่างสมดุล ลดการใช้งบประมาณของรัฐไปได้กว่า 101,000 ล้านบาท และเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรและเพิ่มรายได้เกษตรกรกว่า 200,000 ล้านบาท
สำหรับ ปัญหาการส่งออกสินค้าเกษตร โดยเฉพาะผลไม้ทุเรียนไทย ไปสู่ตลาดใหญ่อย่างประเทศจีน ที่ผ่านมามีปัญหาการตรวจผ่านด่านชายแดนทั้งในประเทศเวียดนาม และขาเข้าผ่านด่านจีน ซึ่งผมได้เดินทางไปเจรจาที่ด่านรถไฟด่งดัง จังหวัดลางเซิน ด่านรถไฟสากลหูหงิ ที่มีการผ่านพิธีศุลกากรขาเข้าและขาออก จากเวียดนามเข้าสู่ด่านโหยวอี้กวาน เมืองผิงเสียง ประเทศจีน เพื่อให้ทั้งสองประเทศอำนวยความสะดวกกับขบวนขนส่งทุเรียนไทยช่วงผลผลิตออกมาก ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี ทำให้เมื่อช่วงเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ราคาทุเรียนไทย ได้ราคาหน้าสวนดีถึงกิโลกรัมละ 230 บาท”
นายนภินทร ยังกล่าวต่ออีกว่า “ผมได้พูดมาตลอดว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ตั้งเป้า ในการเพิ่มสัดส่วนการตลาดของ SME เป็น 40% ในปี 2570 เพราะปัจจุบัน SME ไทยมีจำนวนเยอะมาก ซี่งคิดเป็นสัดส่วน 99.5% ของผู้ประกอบการทั้งหมด การเพิ่มสัดส่วนการตลาดให้ SME ถือเป็นการเพิ่มสัดส่วนทางเศรษฐกิจของทั้งประเทศ ทำให้คนไทยได้มีรายได้ มีความกินดี อยู่ดี ได้จริง
ซึ่งที่ผ่านมาและถึงแม้วันนี้ ผมและกระทรวงพาณิชย์ก็กำลังทำอยู่ สิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมแล้ว ได้แก่ ผลการจัดงาน “มหกรรมรวมพลัง SME ไทย” เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา จำนวน 5 วัน มีการเจรจาจับคู่ธุรกิจ เพื่อต่อยอดและสร้างตลาดใหม่ๆ จำนวน 193,000,000 บาท และมีการจำหน่ายสินค้าและบริการ 7,200,000 บาท รวมมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทันทีกว่า 200 ล้านบาท
และยังมีการเร่งการขึ้นทะเบียนรับรองสินค้า GI เพื่อเพิ่มมูลค่าและหาตลาดพรีเมี่ยมให้กับสินค้า ในปี 2567 ได้มีการขึ้นทะเบียนสินค้า GI เพิ่มทั่วประเทศ 25 รายการ รวมสินค้า GI ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนทั้งหมด 216 รายการ และภายใน 1 ปี สร้างมูลค่าตลาดเพิ่มกว่า 22,000 ล้านบาท โดยมีมูลค่าตลาดทั้งสิ้นกว่า 77,000 ล้านบาท” ถือว่าสร้างมูลค่าให้กับสินค้าชุมชนสูงที่สุดตั้งแต่มีการขึ้นทะเบียนสินค้า GI มา ซึ่งทั้งหมดนี่คือ ผลประโยชน์ของผู้ประกอบการไทยทั้งสิ้น”
นอกจากนี้ ยังมีการเร่งแก้ไขปัญหาใหญ่ระดับชาติ ได้แก่ 1) ปัญหาธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว หรือนอมินี ที่เข้าข่ายเป็นอาชญากรข้ามชาติ ทำลายระบบเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ของประเทศไทย ที่ใกล้ตัวเราที่สุดคือ 'ปัญหาการเปิดบัญชีม้าของนิติบุคคลและการใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (Nominee)'
ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) สำนักงานป้องกันและปราบปรางการฟอกเงิน (ปปง.) ปราบปรามผู้กระทำความผิดไปแล้วกว่า 747 ราย โดยมีมูลค่าความเสียหายกว่า 11,720 ล้านบาท
และยังยังเดินหน้าตรวจสอบการจดทะเบียนนิติบุคคลเพื่อป้องกันปัญหา และร่วมปราบปรามผู้กระทำผิดที่เปลี่ยนวิธีการในรูปแบบต่างๆ ที่ใช้หลอกลวงประชาชน ซึ่งทางกระทรวงพาณิชย์เองได้ติดตามสถานการณ์ตลอดเวลา และ 2) ปัญหาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศ โดยการบังคับใช้มาตรการตรวจสอบคุณภาพสินค้าที่เข้าสู่ประเทศไทยอย่างเข้มข้น ทำให้รัฐจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้จำนวน 823 ล้านบาท และมูลค่าการนำเข้าสินค้าลดลงเฉลี่ย 833 ล้านบาท/เดือน (คิดเป็น 27%) จากเดิมมีมูลค่าการนำเข้า 3,112 ล้านบาท/เดือน ลดลงเหลือ 2,279 ล้านบาท/เดือน
“สุดท้าย ผมขอฝากสื่อมวลชน ช่วยกันนำเสนอผลงานต่างๆ ที่ผมได้ทำไปในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบ ผลประโยชน์ที่พวกเขาจะได้รับจากการดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์ ภายใต้นโยบายรัฐบาล ถึงแม้ผลงานต่าง ๆ อาจจะไม่ได้อยู่ในกระแสข่าวทำให้ได้ฉายา รมต.โลกลืม แต่ขอให้พี่น้องประชาชนได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ ผมถือว่าเป็นผลงานของผมด้วย”นายนภินทร กล่าว