มุมมองตลาดตราสารหนี้ไทย และกองทุนเปิดเค ตราสารภาครัฐ ESG ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน (K-ESGSI-ThaiESG)
โดย นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต, CFA, Chief Investment Officer (รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย)
ภาวะตลาดตราสารหนี้
● จากการประชุมของ FOMC ล่าสุดในวันที่ 18 ธันวาคม 2567 Fed ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 4.25-4.50% ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ แต่ Dot Plot ส่งสัญญาณปรับลดเหลือเพียง 2 ครั้งในปีหน้า (รวม 0.50%) จากเดิมที่ส่งสัญญาณในเดือนก.ย.ว่าจะมีการปรับลดถึง 4 ครั้ง (รวม 1.00%) ในขณะที่ประเทศไทย คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25% ต่อปี หลังจากที่ปรับลดไปเมื่อการประชุมเดือนต.ค.ที่ผ่านมา
● การลดดอกเบี้ยของ Fed ในครั้งนี้ประกอบกับการปรับประมาณการเงินเฟ้อและดอกเบี้ยระยะยาวขึ้น ส่งผลให้ทั้งตลาดพันธบัตร และตลาดทุนค่อนข้างมีความกังวลหลังรับรู้ผลการประชุม อย่างไรก็ตาม ทาง บลจ. กสิกรไทยมองว่าการปรับประมาณอัตราการว่างงานปีหน้าลงและปรับ GDP ขึ้น สะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงเติบโต รวมทั้งตลาดแรงงานที่ดูไม่เป็นที่กังวล ทำให้ Fed เริ่มกลับมาให้ความสนใจกับเงินเฟ้อมากขึ้นอีกครั้ง และด้วยภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังคงเป็น Soft Landing ทำให้เรายังไม่ได้มองว่าเป็นประเด็นที่น่ากังวล
● สำหรับทางฝั่งของประเทศไทย เรายังคงมุมมองดอกเบี้ยในประเทศได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว โดยมองว่า ธปท. มีโอกาสปรับดอกเบี้ยลดลงต่อเนื่อง 1-2 ครั้งในปี 2568 ซึ่งไปทิศทางเดียวกับที่ตลาดคาดการณ์ แต่อาจจะเกิดขึ้นไม่เร็วนักหรือในช่วงครึ่งปีหลัง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพัฒนาการตัวเลขเศรษฐกิจและคุณภาพสินเชื่อ
● แม้ว่าตลาดจะกังวลต่อนโยบายของทรัมป์ โดยเฉพาะนโยบายลดภาษีรายได้ และการขึ้นภาษีนำเข้า ซึ่งจะทำให้เงินเฟ้อสหรัฐชะลอตัวลงได้ช้ากว่าเดิม อย่างไรก็ดีคาดว่าเงินเฟ้อไทยในระยะข้างหน้าจะได้รับผลกระทบที่ค่อนข้างจำกัดจากจากสหรัฐฯ เนื่องจากยังมีความเสี่ยงจากด้านอุปทานส่วนเกินจากจีนที่ไม่ได้ส่งออกไปยังสหรัฐฯ รวมถึงราคาน้ำมันโลกที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ
● ด้านปัจจัยในประเทศยังคงสนับสนุนตลาดตราสารหนี้ เนื่องจากนโยบายการเงินไทยอยู่ในฝั่งผ่อนคลาย เช่นเดียวกับนโยบายการเงินในหลายประเทศทั่วโลก ยังมีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยนโยบายได้อีกในระยะข้างหน้าเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในขณะที่แผนการออกพันธบัตรรัฐบาลไทยยังคงมีความสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด
● โดยสรุป การลงทุนในตราสารหนี้ไทยยังคงมีความน่าสนใจ โดยคาดการณ์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยในระยะข้างหน้าอาจทยอยปรับตัวลงได้อีกจากระดับปัจจุบัน แม้ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรในปัจจุบันจะปรับลดลงมาระดับหนึ่ง ระดับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10-15 ปีที่ 2.25-2.50% ยังคงน่าสนใจเมื่อเทียบกับความเสี่ยงและสามารถถือครองในระยะยาวได้
สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในกองทุน Thai ESG ที่ระดับความเสี่ยงและความผันผวนที่ต่ำ กองทุนประเภทตราสารหนี้เป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ โดยทาง บลจ. กสิกรไทยมีกองทุน Thai ESG ประเภทที่เน้นลงทุนในตราสารภาครัฐไทย คือกองทุนเปิดเค ตราสารภาครัฐ ESG ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน (K-ESGSI-ThaiESG) โดยปัจจุบันมีขนาดกองทุนที่ 3,061.59 ล้านบาท (ณ 26 ธันวาคม 2567)
กองทุนเปิดเค ตราสารภาครัฐ ESG ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน (K-ESGSI-ThaiESG) มีนโยบายการลงทุนที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืนภาครัฐของไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 โดยสามารถลงทุนในตราสารดังต่อไปนี้
1) ตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืน ได้แก่ พันธบัตรหรือหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) พันธบัตรหรือหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) พันธบัตรหรือหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability – Linked Bond)
2) ตราสารหนี้ภาครัฐของไทย ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรหรือหุ้นกู้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย และ
3) ลงทุนบางส่วนในตราสารหนี้ เงินฝาก และตราสารเทียบเท่าเงินฝาก ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งผู้ระดมทุนมีทั้งที่เป็นภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชน โดยมีจุดประสงค์เพื่อนำเงินไปใช้สำหรับโครงการต่างๆ ที่เป็นมิตรต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
จุดเด่นกองทุนเปิดเค ตราสารภาครัฐ ESG ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน (K-ESGSI-ThaiESG)
1. มีพอร์ต Duration ที่ค่อนข้างยาวซึ่งได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับลดลง (ราคาตราสารปรับตัวขึ้น) โดย Duration เฉลี่ยของพอร์ตลงทุน ณ สิ้นเดือน พ.ย. 67 อยู่ที่ 10 ปี 3 เดือน
2. นโยบายการลงทุนยืดหยุ่นซึ่งสามารถพิจารณาลงทุนในสินทรัพย์อื่นเพื่อเสริมสภาพคล่องและประสิทธิภาพในการบริหารพอร์ตได้ไม่เกิน 20% ของ NAV
3. ทีมผู้จัดการกองทุนมีประสบการณ์ในการบริหารกองทุนตราสารหนี้ระยะยาว ซึ่งเป็นการบริหารแบบ active และมีพอร์ต Duration ยาว
4. ค่าธรรมเนียมการจัดการอยู่ในระดับต่ำที่ 0.2140% โดยค่าใช้จ่ายรวมของกองทุนทั้งหมดในปัจจุบันอยู่ที่ 0.2729%
12634