บพข. หนุนอุตสาหกรรมอาหารยกระดับ Food safety เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
เมื่อกลางเดือนธันวาคม 2567 ที่ โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) โดยแผนงานอาหารมูลค่าสูง ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดการประชุม “Expert forum : Food safety ความปลอดภัยในอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อยกระดับการแข่งขันของประเทศ” ขึ้น เพื่อกำหนดทิศทางการวิจัย รวมถึงระดมความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ และผู้เกี่ยวข้อง ในการสร้างโจทย์วิจัยด้านความปลอดภัยในอาหาร พร้อมทั้งผลักดันอุตสาหกรรมอาหารให้มีศักยภาพในการแข่งขันของประเทศไทย
โดย รศ.ดร.ธงชัย สุวรรณสิชนม์ ผู้อำนวยการ บพข. กล่าวว่า บพข.เป็นหน่วยงานบริหารจัดการทุนวิจัย ภายใต้กระทรวง อว. ที่มีภารกิจในการทำให้ประเทศมีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มสูงขึ้น โดยมุ่งเน้นใน 8 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่ประเทศไทยมีศักยภาพ ซึ่ง “อาหาร” เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรม ที่ บพข. มีเป้าหมายในการยกระดับการผลิตให้เป็นอาหารมูลค่าสูง ด้วยงานวิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และยังให้ความสำคัญกับการพัฒนากระบวนการ หรือระบบรับรองมาตรฐานเทียบเท่าระดับสากล เพื่อยกระดับคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร หรือ Food safety ซึ่งจะทำให้สามารถนำงานวิจัยไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ได้จริง
รศ.ดร.วราภา มหากาญจนกุล ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และผู้ทรงคุณวุฒิด้าน Food safety กล่าวถึง “Food safety ในอุตสาหกรรมอาหารเพื่อการแข่งขันของประเทศ” ว่า ความปลอดภัยอาหารเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมอาหารในปัจจุบัน โดยมีประเด็นที่ผู้บริโภคกังวล ได้แก่ การปนเปื้อนของจุลินทรีย์และสารเคมี การปลอมปนอาหาร และการใช้สารเติมแต่งที่ผิดประเภท การติดป้ายกำกับผิดมาตรฐาน การใช้เทคโนโลยีดัดแปลงพันธุกรรม (GMOs) โดยปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยอาหารในระดับโลก คือ ภูมิอากาศโลกที่เปลี่ยนแปลง การใช้น้ำและการนำมาใช้ซ้ำ ความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้น การปลอมปนอาหารและความมั่นคงด้านอาหาร และพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไป
ดังนั้นภาคอุตสาหกรรมจึงต้องเตรียมพร้อมในรับมือผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ เช่น ภูมิอากาศโลกที่เปลี่ยนแปลง มีผลต่อการเติบโตและแพร่กระจายของจุลินทรีย์ก่อโรค ทำให้ต้องมีการเฝ้าระวังและประเมินความเสี่ยง มีวิธีการลดความเสี่ยง ลดของเสียและลดการสูญเสียอาหารที่มีประสิทธิภาพ ขณะที่เรื่องน้ำควรทำความเข้าใจในเรื่องการใช้น้ำซ้ำ หรือน้ำหมุนเวียน มีการใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการน้ำ บำบัดน้ำ การตรวจสอบคุณภาพน้ำ ส่วนเรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียนผลักดันให้อุตสาหกรรมตระหนักเรื่องความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทำให้เกิดการใช้ซ้ำและการจัดการมลภาวะจากพลาสติก ซึ่งต้องระวังความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการประเมินและควบคุมไม่ดี ต้องมีการวิเคราะห์และติดตามความเสี่ยงจากอันตรายที่ไม่คาดคิดมาก่อน ส่วนเรื่องการปลอมปน และความมั่นคงอาหารจำเป็นต้องมีระบบตรวจสอบย้อนกลับและสื่อสารความเสี่ยงให้กับผู้บริโภคถึงปัญหาต่างๆ
อย่างไรก็ดีจากพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไป ทำให้เกิดความต้องการอาหารที่มีโภชนาการเหมาะกับแต่ละบุคคล ความตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อม ทำให้ลดการบริโภคเนื้อสัตว์ เปลี่ยนเป็นโปรตีนจากพืชและแมลง และมีความต้องการอาหารจากธรรมชาติใช้สารเคมีน้อยลง ภาคอุตสาหกรรมควรมีข้อมูลด้านความปลอดภัยต่างๆ รวมถึงมีวิธีการวิเคราะห์ส่วนผสมที่เป็นนวัตกรรมใหม่อีกด้วย
ด้าน สพ.ญ.ดร.สคราญมณี กระจ่างวงษ์ นายสัตวแพทย์ชำนาญการพิเศษ สำนักกำหนดมาตรฐาน สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กล่าวถึง Food safety standard ในมาตรฐานสากล Codex/WHO ว่า Codex เป็นมาตรฐานอ้างอิงขององค์การการค้าโลก ที่เน้นในเรื่องของสุขภาพของผู้บริโภค ขณะเดียวกันก็สามารถอำนวยความสะดวกในด้านการค้าด้วย และที่สำคัญขณะนี้ยังได้ส่งเสริมให้มีการสร้างเครือข่ายด้านความปลอดภัยอาหารในระดับโลก ซึ่งปัจจุบันมี 4 หน่วยงานที่ให้คำแนะนำด้านการประเมินความเสี่ยงในมาตรฐาน Codex ได้แก่ JECFA, JMPR, JEMRA และ JEMNU ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) จะมีส่วนของเรื่องประเมินความเสี่ยง ที่เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบการควบคุมอาหารของประเทศ และประเมินภาระโรคที่เกิดจากอาหาร ทั้งนี้ปัจจุบันมีการพัฒนาเครือข่ายความปลอดภัยด้านอาหารระหว่างประเทศ หรือ INFOSAN และยังมีองค์กรโลกเพื่อสุขภาพสัตว์ (WOAH) ซึ่งการลดความเสี่ยงของการปนเปื้อนในอาหาร จำเป็นต้องมีการดำเนินการในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่อาหารตั้งแต่การผลิตในฟาร์มไปจนถึงการบริโภคของมนุษย์
สพ.ญ.ดร.สคราญมณี กล่าวอีกว่า ปัจจุบันหลายประเทศได้นำแนวทางด้านสุขภาพที่เป็นหนึ่งเดียวหรือ “One Health” มาใช้โดยเน้นการปกป้องผู้คน สัตว์ พืช และโลกจากศัตรูพืชและโรค ความปลอดภัยของอาหารเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนตั้งแต่การผลิตอาหารไปจนถึงการบริโภค ดังนั้นความท้าทายของประเทศไทยในการวิจัยด้านความปลอดภัยอาหาร ควรมีการผลักดันให้เกิดการบูรณาการงานวิจัยด้วย One Health Approach ที่เพิ่มความเชื่อมโยงของข้อมูลต่างๆ นําไปประกอบการวิเคราะห์ความเสี่ยง สนับสนุนให้มีการพัฒนาวิธีการทดสอบทางห้องปฏิบัติที่มีความรวดเร็วและแม่นยํา และได้รับการยอมรับในระดับสากล ส่งเสริมให้นํางานวิจัยไปใช้จริงในอุตสาหกรรมเพื่อลดต้นทุนการผลิต เกิดแรงจูงใจในการพัฒนานวัตกรรม และส่งเสริมให้นักวิจัยเข้าร่วมและให้การสนับสนุนข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยอาหาร เพื่อนําไปประกอบการกําหนดมาตรฐานอาหารของไทย และระหว่าง รวมถึงสร้างความรู้ความเข้าใจและสื่อสารความเสี่ยงไปยังผู้บริโภค
ทั้งนี้ในการประชุมฯ ยังมีประเด็นที่น่าสนใจ อย่างเช่น เรื่อง “ส่วนการเตรียมพร้อมกฎระเบียบด้านความปลอดภัยอาหารของประเทศไทยเพื่อการแข่งขัน” โดย คุณนฤมล ฉัตรสง่า ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยของอาหารและการบริโภคอาหาร กองอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ที่กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมของอย.ในการคุ้มครองผู้บริโภค ที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมอนาคต โดยส่งเสริมอาหารปลอดภัย และทางเลือกสุขภาพ มีการพัฒนาผู้ประกอบการที่ขับเคลื่อนอาหารอนาคตเพื่อเศรษฐกิจ เร่งรัดการอนุญาตอาหารอนาคต มีการพัฒนาเครือข่าย เตรียมความพร้อม รองรับการ Audit จาก MRA on PF และปรับกฎระเบียบด้านอาหารให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
และเรื่อง “การประเมินความเสี่ยงการปนเปื้อน เพื่อยกระดับความปลอดภัยอาหารของประเทศ” โดย รศ.ดร.ชนิพรรณ บุตรยี่ หัวหน้าศูนย์ประเมินความเสี่ยงด้านอาหารประเทศไทย (TRAC) สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่กล่าวถึงหลักการประเมินความเสี่ยง การระบุอันตรายและลักษณะเฉพาะ การประเมินการสัมผัสลักษณะความเสี่ยงรวมถึงตัวอย่างการประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพของโลหะหนักและสารกำจัดศัตรูพืชตกค้าง
สำหรับตัวอย่างงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยอาหาร เช่น เซนเซอร์พร้อมเครื่องวัดสารกันเสียซัลไฟต์ตกค้างในกุ้งและอาหารทะเลแช่แข็ง รุ่น “Sulfite Sniffer V2023” ผลงานจากคณะผู้วิจัยนำโดย รศ.ดร.กาญจนา อุไรสินธว์ ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับใช้วัดระดับสารซัลไฟต์ซึ่งปกติต้องเฝ้าระวังมิให้มีตกค้างในผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแช่เข็งเกินกว่าระดับมาตรฐานที่ได้รับอนุญาตภายใต้กฎหมายของทั้งในและต่างประเทศทั่วโลก นวัตกรรมดังกล่าวใช้หลักการวัดเป็นแบบ “Sniff technology” ของไอระเหย สามารถอ่านผลเร็วใน 3 นาทีและไม่มีขั้นตอนแยกของการสกัด หัววัดคงทน มี shelf-life อย่างน้อย 1 ปี ไม่ต้องกระตุ้น ไม่ต้องแช่เย็นก่อนใช้งาน นวัตกรรมนี้จะเป็นการยกระดับคุณภาพการผลิตอาหารแช่แข็งและเพิ่มศักยภาพต่อการแข่งขันของไทยอย่างก้าวกระโดด ทดแทนการนำเข้าเครื่องมือวัดสารกันเสียซัลไฟต์จากต่างประเทศ
ส่วนผลงานวิจัย “การผลิต test-kit ทดสอบความปลอดภัย COLI-2-in-1 สู่เชิงพาณิชย์” โดย รศ.ดร.อนุศักดิ์ เกิดสิน รองคณบดีฝ่ายวิจัย คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทางคณะผู้วิจัยได้ดำเนินการพัฒนาชุดทดสอบ COLI-2-in-1 ที่สามารถตรวจหาได้ทั้งโคลิฟอร์มและฟีคัลโคลิฟอร์มในอาหาร น้ำและมือผู้สัมผัสอาหารจนประสบความสำเร็จเบื้องต้น และได้มีการสำรวจความคิดเห็นของลูกค้าที่ได้ทดลองใช้ชุดทดสอบนี้ ซึ่งให้ผลการตอบรับที่ดี อย่างไรก็ตามเพื่อให้สามารถนำไปผลิตได้จริงในเชิงพาณิชย์และการนำไปใช้งานจริงอย่างเชื่อมั่นของลูกค้า จำเป็นที่จะต้องประเมินคุณภาพของชุดทดสอบให้ได้ตามมาตรฐานที่ ISO16140-2:2016 กำหนด ก่อนนำไปขอรับการรับรองผลิตภัณฑ์จากหน่วยงานอิสระ คือ TÜV SÜD สำหรับการผลิตเชิงพาณิชย์ต่อไป
ศ.ดร.ณัฐดนัย หาญการสุจริต ผู้จัดการสำนักประสานงานวิจัยอาหารมูลค่าสูง บพข. กล่าวสรุปถึงแนวทางการผลักดันและพัฒนางานวิจัยเพื่อยกระดับความปลอดภัยในอุตสาหกรรมอาหาร ที่ได้จากวิทยากรและผู้เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ว่า ควรสนับสนุนงานวิจัยเกี่ยวกับมาตรฐานและเทคโนโลยีตรวจสอบคุณภาพ เทคโนโลยีการตรวจสอบแบบ Real Time Analysis หรือเทคโนโลยีการตรวจสอบคุณภาพที่ใช้งานง่าย การจัดการความเสี่ยงจากวัตถุดิบและสารปนเปื้อน เช่น เครื่องมือหรือวิธีการตรวจหาสารพิษสารก่อภูมิแพ้สารตกค้างจากการเกษตรและจุลินทรีย์ การจัดทำ Positive list/ Scientific Based การจัดทำเกณฑ์สำหรับสินค้า (ผลิตภัณฑ์) ที่อยู่ในนโยบายหรือยุทธศาสตร์ของประเทศ และการพัฒนาวิธีการทดสอบทางห้องปฏิบัติการที่มีความรวดเร็วและแม่นยำที่ได้รับรองระดับสากล
นอกจากนี้ยังต้องผลักดันให้เกิดการบูรณาการงานวิจัย เพื่อสนับสนุนความปลอดภัยอาหารด้วย One Health Approach โดยมีความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆ เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลสู่การกำหนดคุณภาพมาตรฐานความปลอดภัยอาหารของประเทศ รวมถึงส่งเสริมการนำงานวิจัยไปใช้จริงในอุตสาหกรรมอาหาร หรือผู้ประกอบการขนาดต่างๆ เพื่อลดต้นทุนการผลิตให้เกิดประโยชน์ทางเชิงพาณิชย์และก่อให้เกิดแรงจูงใจในการพัฒนานวัตกรรม
12625