พาณิชย์ เกาะติดราคาข้าว ส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังโรงสี ตลาดส่งออกต้องการ
กรมการค้าภายในติดตามสถานการณ์ราคาข้าวเปลือกนาปี 2567/68 พบออกสู่ตลาดแล้ว 50% ราคายังปรับตัวสูงขึ้น จากความต้องการของโรงสีและการส่งออก เผยราคาข้าวเปลือกเจ้าแห้งเฉลี่ย 8,900-10,200 บาท/ตัน ข้าวเปลือกปทุมธานี 12,500-13,000 บาท/ตัน ข้าวเปลือกหอมมะลิ 15,500–16,000 บาท/ตัน พร้อมเดินหน้าจัดตลาดนัดข้าวเปลือก เชื่อมโยงเกษตรกรมีที่ขายรวมกว่า 50 ครั้ง ส่วนราคาส่งออก พบขยับขึ้นทุกชนิด ตามความต้องการสั่งซื้อที่เข้ามาต่อเนื่อง
นายวิทยากร มณีเนตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมการค้าภายในได้ติดตามสถานการณ์ข้าวเปลือกนาปี 2567/68 พบว่า ออกสู่ตลาดแล้วประมาณ 13.4 ล้านตัน หรือประมาณ 50% ของผลผลิตทั้งหมด ส่วนราคาข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกปทุมธานี และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดคละในบางพื้นที่ ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากปริมาณข้าวในสต็อกของโรงสีลดลง และโรงสีบางรายที่มีความต้องการสินค้าเพื่อใช้และเก็บสต็อก เสนอราคารับซื้อสูงขึ้น
โดยราคา ณ วันที่ 15 พ.ย.2567 ข้าวเปลือกเจ้าแห้ง (ความชื้น 15%) ราคา 8,900-10,200 บาท/ตัน ข้าวเกี่ยวสด 7,800-9,000 บาท/ตัน โดยราคาปรับตัวสูงขึ้นในหลายพื้นที่ภาคกลาง เช่น สุพรรณบุรี ข้าวแห้ง เฉลี่ย 10,550 บาท/ตัน เพิ่มขึ้น 500 บาท/ตัน จากสัปดาห์แรกของ พ.ย.2567 กำแพงเพชร สุโขทัย 9,600 บาท/ตัน เพิ่ม 200 บาท/ตัน สิงห์บุรี 9,800 บาท/ตัน เพิ่ม 200 บาท/ตัน) เป็นต้น
ส่วนข้าวเปลือกปทุมธานี (ความชื้น 15%) ปัจจุบันอยู่ที่ 12,500-13,000 บาท/ตัน ราคาเกี่ยวสด อยู่ที่ 9,700- 10,100 บาท/ตัน โดยสุพรรณบุรี เฉลี่ย 13,500 บาท/ตัน เพิ่ม 200 บาท/ตัน อุตรดิตถ์ 12,500 บาท/ตัน เพิ่ม 100 บาท/ตัน ข้าวเปลือกหอมมะลิ ออกสู่ตลาดแล้ว 4 ล้านตัน โดยราคาเกี่ยวสด (ความชื้น 30%) อยู่ที่ 12,000-12,400 บาท/ตัน คิดเป็นข้าวแห้ง (ความชื้น 15%) อยู่ที่ 15,500–16,000 บาท/ตัน
ราคาเฉลี่ยคงที่จากสัปดาห์ก่อน แต่พบว่ามีบางพื้นที่ราคาเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากต้นเดือน พ.ย.2567 เช่น อำนาจเจริญ เฉลี่ย 14,100 บาท/ตัน เพิ่ม 400 บาท/ตัน นครพนม 13,250 บาท/ตัน เพิ่ม 100 บาท/ตัน อุดรธานี 13,900 บาท/ตัน เพิ่ม 450 บาท/ตัน ขอนแก่น 15,050 บาท/ตัน เพิ่ม 50 บาท/ตัน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมา ภาคอีสานบางพื้นที่มีฝนตกชุก และชาวนาเร่งเกี่ยว ทำให้ข้าวเปลือกมีความชื้นสูงมาก ราคาที่ได้จะลดลงตามคุณภาพ ซึ่งนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัด และกรมการค้าภายใน ติดตามสถานการณ์ราคาข้าวอย่างใกล้ชิด และติดตามตรวจการรับซื้อข้าวเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ป้องกันมิให้เอารัดเอาเปรียบชาวนา หรือฉวยโอกาสกดราคารับซื้อ
นายวิทยากร กล่าวว่า กรมการค้าภายในยังได้ร่วมกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดแหล่งเพาะปลูกข้าว จัดตลาดนัดข้าวเปลือก ปีการผลิต 2567/68 ใน 33 จังหวัด รวมกว่า 50 ครั้ง เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงผลผลิตของเกษตรกรกับโรงสีในพื้นที่และนอกพื้นที่ ช่วยให้เกษตรกรมีทางเลือกและอำนาจต่อรองในการขายข้าวเปลือกมากขึ้น รวมทั้งส่งเสริมให้การซื้อขายข้าวเปลือกเกิดความเป็นธรรมด้านราคา การชั่งน้ำหนัก และการตรวจสอบคุณภาพ โดยกำหนดจัดตลาดนัดแล้วในหลายจังหวัด
และที่กำลังจะจัดในสัปดาห์หน้า เช่น วันที่ 19-20 พ.ย.2567 ณ โรงสี สกต.ร้อยเอ็ด จ.ร้อยเอ็ด วันที่ 18-22 พ.ย.2567 ณ ดวงใจการเกษตร สาขา 1 จ.หนองคาย วันที่ 21-23 พ.ย.2567 ณ สหกรณ์การเกษตรเมืองสอง จ.แพร่ จึงขอเชิญผู้ประกอบการรับซื้อข้าวเปลือกและชาวนานำข้าวมาขาย โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัด และ สายด่วนกรมการค้าภายใน โทร 1569
สำหรับ ราคาส่งออกข้าวไทย กรมการค้าต่างประเทศรายงานข้อมูลราคา FOB ส่งออกข้าวไทยเฉลี่ยจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย พบว่า ราคาส่งออกข้าวหอมมะลิ (ข้าวใหม่) เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 935 เหรียญสหรัฐ/ตัน เพิ่มขึ้น 7.59% จากปีก่อนที่มีราคาอยู่ที่ประมาณ 869 เหรียญสหรัฐ/ตัน ข้าวปทุมธานี ราคา 875 เหรียญสหรัฐ/ตัน เพิ่มขึ้น 24.64% จากปีก่อนที่มีราคาอยู่ที่ 702 เหรียญสหรัฐ/ตัน
ข้าวขาว ราคา 603 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน เพิ่มขึ้น 11.67% ข้าวนึ่ง ราคา 601 เหรียญสหรัฐ/ตัน เพิ่มขึ้น 10.89% และข้าวเหนียว ราคา 818 เหรียญสหรัฐ/ตัน เพิ่มขึ้น 0.62% ซึ่งสะท้อนกลับไปเป็นราคาข้าวเปลือกที่ปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย
ส่วนสถานการณ์ส่งออกข้าวไทย ยังมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยข้อมูลของกรมการค้าต่างประเทศ พบว่า ในช่วง 10 เดือนของปี 2567 (ม.ค.-ต.ค.) การส่งออกข้าวแล้วประมาณ 8.37 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 20% และยังคงมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่องประกอบกับผลผลิตข้าวนาปีของไทยที่กำลังออกสู่ตลาด มีปริมาณเพิ่มขึ้นและมีคุณภาพที่ดีจากปริมาณน้ำที่เพียงพอสำหรับการเพาะปลูก
อีกทั้ง ยังมีผลผลิตข้าวหอมมะลิไทยที่เพาะปลูกได้ปีละครั้งออกสู่ตลาดในช่วงนี้ ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดสำคัญอย่างสหรัฐฯ ฮ่องกง และแคนาดา ในขณะที่ข้าวขาวก็มีคำสั่งซื้อจากเอกชนผู้ส่งออกข้าวที่ชนะในการประมูลนำเข้าข้าวของอินโดนีเซียปริมาณ 200,500 ตัน จึงคาดการณ์ว่าปริมาณส่งออกเข้าไทยในปีนี้จะสูงกว่า 9 ล้านตัน มูลค่ากว่า 6,400 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 230,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังได้กำชับให้กระทรวงพาณิชย์ติดตามสถานการณ์ข้าวอย่างใกล้ชิดและเร่งดำเนินการมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ตามที่คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ได้มีมติเห็นชอบให้ดำเนินโครงการช่วยเหลือเกษตรกร
ประกอบด้วย 1.สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี เป้าหมาย 3 ล้านตัน วงเงิน 8,362.76 ล้านบาท 2.สินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร เป้าหมาย 1.5 ล้านตัน วงเงินชดเชย 656.25 ล้านบาท และ 3.ชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการเก็บสต๊อก เป้าหมาย 4 ล้านตัน วงเงิน 585 ล้านบาท