‘ทรีนีตี้’ เดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งด้านหลักทรัพย์ครบวงจร มั่นใจผลงานงวดครึ่งปีหลัง 67 ฟื้นตัวต่อเนื่อง
“ทรีนีตี้” เดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งด้านหลักทรัพย์ครบวงจรด้วยการสร้างทีมงานในส่วนของธุรกิจต่างๆ รุกหนักทั้งหุ้น และ TFEX พร้อมลุยธุรกิจวาณิชธนกิจ และงาน M&A ต่างประเทศครั้งแรก ขณะที่ดีล IPO ยังแน่น วางกลยุทธ์ปั้นธุรกิจตราสารหนี้ และกองทุนให้มีความหลากหลายมากขึ้น เสริมทัพด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์ม และปรับปรุง Application เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าในการทำรายการซื้อขายผลิตภัณฑ์ และบริการต่างๆ มั่นใจผลดำเนินงานงวดครึ่งปีหลัง 67 ฟื้นตัว คาดจะสามารถดันรายได้ และกำไรโตต่อเนื่อง หลังตลาดหุ้นเริ่มมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันสูงขึ้น
ดร.วีรพัฒน์ เพชรคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในช่วงที่เหลือของปี 2567 ว่าผลดำเนินงานของบริษัทคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก จากสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดหุ้นทำให้ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น ซึ่งจะหนุนให้ธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนคึกคัก และนักลงทุนเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นมากขึ้นอีกครั้ง บริษัทจะใช้โอกาสที่ตลาดหุ้นมีการฟื้นตัว เตรียมความพร้อมด้านธุรกิจค้าหลักทรัพย์อย่างเต็มที่ มีการเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เก็ตติ้ง) ทั้งหุ้น และ TFEX โดยเฉพาะในฝั่ง TFEX เรามีการขยายฐานลูกค้าจนปัจจุบันสามารถสร้างมาร์เก็ตแชร์ให้เติบโตเพิ่มขึ้น 4 - 5 เท่า
ดร.วีรพัฒน์ กล่าวว่า ในส่วนของงานด้านวาณิชธนกิจ บริษัทจะรุกธุรกิจการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินนำบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (IPO) ซึ่งขณะนี้มีดีลในมือประมาณ 13-14 ดีล ซึ่งจะทยอยเข้าจดทะเบียนในปี 2567-2568 และเรามีการเพิ่มทีมวาณิชธนกิจที่มีความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ด้านการควบรวมกิจการ (M&A) ซึ่งมีฐานลูกค้าทั้งใน และต่างประเทศ ได้แก่ อินเดีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และในประเทศแถบตะวันออกกลาง ซึ่งขณะนี้มีดีล M&A ในมือแล้ว 8-10 ดีล ครอบคลุมในเกือบทุกอุตสาหกรรม ในส่วนของการออกตราสารหนี้ บริษัทมีการเพิ่มทีมตราสารหนี้ และปรับกลยุทธ์การออกตราสารหนี้ ให้มีระดับความเสี่ยงที่หลากหลาย เพื่อเป็นทางเลือกกับนักลงทุนมากยิ่งขึ้น โดยปีนี้คาดว่าจะเป็นที่ปรึกษาในการออกตราสารหนี้ จำนวน 20-22 ดีล ในส่วนของธุรกิจจัดการกองทุนส่วนบุคคล บริษัทมีกลยุทธ์ในการขยายฐานลูกค้า
โดยจะเข้าร่วมเป็นตัวแทนจำหน่ายกองทุนให้มากขึ้น และตั้งเป้าที่จะมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) อยู่ที่ 3,200 ล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 2,400 ล้านบาท ซึ่งคาดหวังว่าจะได้เห็นรายได้จากการขายกองทุนที่ปรับตัวดีขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนพัฒนาแพลตฟอร์ม และปรับปรุง Application เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าในการทำรายการซื้อขายผลิตภัณฑ์ และบริการต่างๆ โดยเฉพาะการปรับปรุงพัฒนาระบบการซื้อขายหลักทรัพย์ให้มีประสิทธิภาพ และปรับปรุงระบบการเปิดบัญชีให้สะดวกสบายมากขึ้น ในส่วนของพนักงาน บริษัทมีแผนในการพัฒนาโปรแกรมการวิเคราะห์หลักทรัพย์ที่จะเป็นเครื่องมือให้เจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เก็ตติ้ง) ใช้ในการเลือกหุ้นให้แม่นยำ เพื่อสนับสนุนการซื้อขายหลักทรัพย์ของลูกค้าให้ได้ผลตอบแทนตามที่คาดหวัง
นอกจากนี้ บริษัทจะพัฒนาระบบการทำงานภายในองค์กรให้ทันสมัย และปลูกฝังให้พนักงานได้เรียนรู้เรื่องการนำ AI เข้ามาใช้ในการทำงาน และเตรียมพัฒนาระบบให้รองรับการทำงานในรูปแบบ work from home สำหรับผลดำเนินงานของบริษัทงวดครึ่งแรกปี 2567 บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 16.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 106.29 เมื่อเทียบกับงวดครึ่งแรกปี 2566 ที่ขาดทุนจำนวน 262.37 ล้านบาท เป็นผลจากรายได้รวมและกำไรเงินลงทุนปรับตัวดีขึ้น
ขณะที่ผลดำเนินงานงวดไตรมาส 2 มีกำไรสุทธิ 0.63 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 100.26 เมื่อเทียบงวดเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุน 239.18 ล้านบาท โดยบริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 294.89 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 69.07 เทียบกับงวดเดียวกันปี 2566 ที่มีรายได้รวมจำนวน 174.42 ล้านบาท