TBC2024! รวมตัวเหล่ากูรูชั้นนำของไทย แชร์มุมมองอนาคต Bitcoin ทางเลือกใหม่ของระบบการเงิน
Thailand Bitcoin Conference 2024 หรือ TBC2024 ภายใต้แนวคิด “Bitcoin Fixes This” รวมตัวเหล่ากูรูชั้นนำของไทย ถกปัญหาภาวะเงินเฟ้อ เงินออมด้อยค่า แชร์มุมมองอนาคต Bitcoin ทางเลือกใหม่ของระบบการเงินไทย
“Bitcoin makes saving great again เงินออมเปลี่ยนโลก”
ดร.วิชิต ซ้ายเกล้า ผู้ก่อตั้ง Chitbeer กล่าวว่า “ในอดีตการออมเงินเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่เสมือนการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับอนาคต วันนี้โครงการต่างๆ อภิมหาโปรเจกต์การเงินไม่ได้เกิดจากการออมเงิน แต่เกิดขึ้นจากเงินที่ผลิตมาใหม่ ทำให้การออมกลายเป็นเรื่องยากลำบากยิ่งขึ้น เนื่องจากปัญหาเงินเฟ้อ ทำให้ค่าเงินลดลง และส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ในขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด เงินเฟ้อกลับเป็นตัวการที่ขโมยความมั่งคั่งของผู้คนไปอย่างเงียบๆ เปรียบเสมือนอาชญากรรม มะเร็งร้ายทำลายความมั่นคงของมนุษยชาติ
ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันนี้ ขณะที่โลกพัฒนาแต่คนถูกผลักดันให้ต้องเป็นหนี้เพิ่ม เพราะเงินด้อยค่า ประชาชนก็ต้องดิ้นรนตามหาการลงทุนมีผลตอบแทนมากกว่าเงินเฟ้อ ซึ่งผลตอบแทนสูง มักมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูง การลงทุนหลายอย่างจึงเข้าใกล้การพนันขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้น ระบบการเงินจึงต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง และมองว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เงินของเราต้องไม่อนุญาตให้ใครใช้เงินเพื่อบีบบังคับผู้อื่นได้ ซึ่งเงินที่ว่าก็คือ บิตคอยน์ (Bitcoin) ซึ่งต้องได้ฉันทามติจากทุกคนที่เกี่ยวข้อง โดย “บิตคอยน์” มีศักยภาพในการสร้างองค์กรสายพันธุ์ใหม่ สามารถสร้างเครือข่ายมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ภายใน 12 ปี และเชื่อว่าในอนาคต bitcoin จะเป็น Generational Wealth ต่อไป
“Unfolding Fiat Debt Slavery ปลดแอกพันธนาการ ทาสเงินตรา”
ด้าน ดร. บิ๊ก ณปภัช ปิยไชยกุล (ขวา) ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ การเงิน และการลงทุน จากช่องยูทูบชื่อดัง The BIG Secret และ พิริยะ สัมพันธารักษ์ (ซ้าย) ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริหาร บริษัท โฉลก ดอท คอม ต่างมีมุมมองความคิดเห็นว่า “สังคมปัจจุบันถูกออกแบบมาเพื่อให้เราทำงานหนักขึ้นเรื่อยๆ ทำมากกว่า 1 งาน แต่กลับไม่สามารถสร้างความมั่นคงทางการเงินได้อย่างยั่งยืน การเกษียณอายุกลายเป็นความฝันที่ไกลเกินเอื้อม และโรคภัยไข้เจ็บก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่คุกคามความสุขในชีวิต สังคมปัจจุบันจึงเปรียบเสมือน “ทาสในเรือนหนี้”
ระบบการเงินแบบเดิมที่มุ่งเน้นการสร้างเงินจำนวนมหาศาลเข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่อง ทำให้เงินเสื่อมค่าลงอย่างรวดเร็ว และเงินออมของเราก็สูญเสียมูลค่าไปตามกาลเวลา สิ่งนี้ส่งผลให้ผู้คนจำนวนมากมีอาชีพเสริมคือ “นักลงทุนมือสมัครเล่น” เพื่อรักษาเงินที่หามาได้ ซึ่ง 99% ของคนในตลาดทุนขาดทุนแต่ทุกคนก็กระโดดเข้ามาเพื่อหวังจะเป็น 1% ในการเอาตัวรอดได้ เงินที่เก็บมาจึงเป็นการเอาไปประเคนคนที่เก่งกว่าในตลาด
แล้ว Bitcoin จะช่วยให้เราหลุดพ้นสภาวะถูกกดขี่ในระบบนี้ได้อย่างไร??
บิตคอยน์ (Bitcoin) มีจำนวนจำกัดที่ 21 ล้าน มีอัตราการผลิตที่คงที่ คาดเดาได้ เริ่มต้น 50 bitcoin ทุก 10 นาทีลดลงครึ่งหนึ่งทุกๆ 4 ปี จนถึง ปี 2140 แล้วหมดการผลิต ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ที่มีนโยบายทางการเงินที่แข็งแกร่ง มั่นคงและเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เราสามารถคำนวณได้ว่าต้องมีบิตคอยน์ เท่าไหร่ถึงจะเกษียณได้ ยิ่งเวลาผ่านไปยิ่งกำไรมากขึ้น bitcoin ได้คืนเวลาที่ถูกขโมยไปให้กลับมา อย่างไรก็ตาม การเดินทางของ bitcoin ยังต้องพิสูจน์ต่อไป ซึ่งเราเชื่อว่ายังมีแสงสว่างรออยู่ที่ปลายอุโมงค์
“Regulatory Landscape for Bitcoin Adoption โอบรับสินทรัพย์สายพันธุ์ใหม่”
ดร. ณรัณ โพธิ์พัฒนชัย (ขวา) นักกฎหมายกฤษฎีกา ชํานาญการพิเศษ ประจำกองกฎหมายการเงิน การคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, ทิพย์สุดา ถาวรามร (กลาง) คณะกรรมการ บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด ที่ปรึกษา บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด คณะกรรมการ Finnomena และนายสัญชัย ปอปลี (ซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คริปโตมายด์ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ร่วมให้มุมมองว่า กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยนั้นมีวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง โดยจุดเริ่มต้นนั้นไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ บิตคอยน์ (Bitcoin) โดยตรง แต่เกิดขึ้นจากกระแสความนิยมของ ICO (Initial Coin Offering) ซึ่งเป็นการระดมทุนผ่านการออกเหรียญดิจิทัลใหม่ๆ เมื่อบิตคอยน์เข้าสู่ตลาดในช่วงที่เป็น Bull Market ครั้งแรก และมีราคาพุ่งสูงขึ้นถึง 10,000 ดอลลาร์ ได้สร้างความสนใจให้กับนักลงทุนชาวไทยเป็นอย่างมาก ส่งผลให้รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของการให้ความรู้และข้อมูลที่โปร่งใสแก่ประชาชนเกี่ยวกับสินทรัพย์ประเภทนี้
ในช่วงแรก การลงทุนในบิตคอยน์และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ ส่วนใหญ่ดำเนินการผ่านผู้ให้บริการหรือตัวกลางตัวกลาง ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความจำเป็นในการออกกฎหมายเพื่อกำกับดูแลกิจกรรมเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม การนำกฎหมายหลักทรัพย์มาใช้กับสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อน เนื่องจากสินทรัพย์ดิจิทัลยังไม่มีลักษณะที่ชัดเจนว่าเป็นตราสารหรือไม่ กฎหมายจึงมุ่งเน้นไปที่การกำกับดูแลกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการระดมทุนผ่านการออกเหรียญดิจิทัลใหม่ๆ มากกว่า
สำหรับการซื้อขาย Bitcoin เพื่อการลงทุนส่วนบุคคลนั้น กฎหมายไม่ได้ห้าม แต่ก็ยังไม่มีการสนับสนุนอย่างเป็นทางการ โดยรัฐบาลได้กำหนดให้ Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ มีสถานะเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีรูปร่าง ซึ่งหมายความว่าเมื่อมีการซื้อขายหรือโอนสินทรัพย์เหล่านี้ จะต้องมีการชำระภาษีตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการทำธุรกรรมที่มีมูลค่าสูง
ปัจจุบัน Bitcoin ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลกมากขึ้น และมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin อย่างต่อเนื่อง เช่น Bitcoin ETF ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับ Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์ที่น่าลงทุน ธนาคารแห่งประเทศไทยเองก็ได้เริ่มศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในระบบการชำระเงิน
อนาคตของ Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยมีความน่าสนใจ โดยภาคเอกชนมีบทบาทสำคัญในการผลักดันนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ในขณะที่ภาครัฐก็มีบทบาทในการกำกับดูแลและส่งเสริมให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อให้เกิดการยอมรับ Bitcoin ในวงกว้างมากขึ้น รัฐบาลอาจต้องพิจารณาปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการให้ความรู้และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล
“The Bitcoin Strategies วิถีแห่งบิตคอยน์”
ปิดท้ายด้วย ลุงโฉลก สัมพันธารักษ์ ผู้ร่วมก่อตั้งและพาร์ทเนอร์ บริษัท CDC ChalokeDotCom และพิริยะ สัมพันธารักษ์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริหาร บริษัท โฉลก ดอท คอม ร่วมแสดงความคิดเห็นว่า “การเปลี่ยนแปลงในสมัยใหม่อาจจะมีความเจริญทางด้านจิตใจ รู้จักพอก็จะมีความสุข ซึ่งคำว่าพอของแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่เมื่อ “พอ” แล้วความสุขจะเท่ากัน”
โลกปัจจุบันมักจะวนซ้ำๆ เดิมเสมอ โดยมี “เงิน” เป็นปัญหาเพราะคุณไม่รู้ว่าเงินมันเสื่อมค่าไปเท่าไหร่ เมื่อความมั่นใจไม่มี ไม่ว่าเท่าไหร่ก็ไม่มีวันพอ หลังจากที่รู้จักการลงทุนใน Bitcoin ทำให้ได้เก็บออมในเงินที่แข็งแกร่งที่สุดที่มนุษยชาติค้นพบได้ ก็มีเวลามากขึ้น ได้ทำงานที่รัก ทำในสิ่งที่ชอบ ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว ทำงานที่สร้างผลประโยชน์ให้กับผู้คนมากขึ้น และความพอจะเกิดขึ้นได้ถ้าเงินไม่เสื่อมค่า
Bitcoin ในอีก 5-10 ปีจะมีการพัฒนาต่อยอดเป็น Layer และจะมีระบบเป็น Trading Account คนจะเริ่มเข้าใจมากขึ้น ซึ่งภายใน 5 ปีข้างหน้า คาดว่าจะเริ่มมีการแบ่งบัญชีของ Bitcoin เป็นการออมทรัพย์การลงทุนและการเล่นเก็งกำไร โดยกลยุทธ์จะแบ่งเป็น Mindset 90% Money Management 9% และเป็น Trading Strategy 1% การลงทุนก็จะเห็นกำไรมากขึ้น ซึ่งก็หวังว่า Community Bitcoin จะโตขึ้นกว่านี้ในอนาคต
9447