หมวดหมู่: พาณิชย์

1aอรมน ทรัพย์ทวีธรรม


เอกชนหนุนเร่งเปิดเจรจา FTA ไทย-ยูเออี กรุยทางขยายโอกาสการค้า บริการ ลงทุน

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเผยผลระดมความเห็นและผลการศึกษาทุกภาคส่วน พบเอกชนหนุนไทยเร่งเปิดการเจรจา FTA ไทย-ยูเออี ชี้จะช่วยขยายโอกาสทางการค้า บริการ และการลงทุน ไปยังตลาดยูเออีที่มีกำลังซื้อสูงและจำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้า คาดจีดีพีจะขยายตัวถึง 0.08-0.09% และมีสินค้าไทยได้ประโยชน์เพียบ ทั้งอาหาร สิ่งทอ และเคมีภัณฑ์

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงผลการจัดประชุมระดมความเห็นจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เรื่อง “การจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างไทยกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี)” เมื่อวันที่ 24 ก.พ.2566 ที่ผ่านมา ว่า ภาคเอกชนได้สนับสนุนให้ไทยเร่งเปิดการเจรจาจัดทำ FTA กับยูเออีโดยเร็ว เพื่อขยายโอกาสทางการค้า การค้าบริการ และการลงทุนของไทยไปยังตลาดยูเออี

ซึ่งผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูง และจำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและอาหาร และยูเออียังมีนโยบายการลงทุนที่เปิดกว้าง และอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนอย่างเต็มที่ ซึ่งไทยสามารถดึงดูดนักลงทุนยูเออีมาไทยในสาขาที่ยูเออีมีศักยภาพ และสนใจไปลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะบริการด้านคอมพิวเตอร์และข้อมูล

ส่วนผลการระดมความเห็นที่กรมฯ ได้มอบบริษัท โบลิเกอร์ แอนด์ คอมพานี จำกัด นำเสนอผลการศึกษาเรื่องการเข้าสู่ตลาดยูเออีของไทย ผ่าน FTA พบว่า จะช่วยเพิ่มแต้มต่อและโอกาสทางการแข่งขันให้กับสินค้าและบริการไทย ทั้งตลาดยูเออี และตลาดกลุ่มประเทศคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council : GCC) ที่มีสมาชิก 6 ประเทศ

ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย บาห์เรน โอมาน กาตาร์ และคูเวต โดยจะช่วยให้จีดีพีของไทยขยายตัว 0.08-0.09% หรือมูลค่า 318-357 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับกรณีที่ไม่มีการจัดทำ FTA ระหว่างกัน

สำหรับ สินค้าที่ไทยจะสามารถส่งออกไปยังตลาดยูเออีได้มากขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์อาหาร สิ่งทอ เครื่องเเต่งกาย ผลิตภัณฑ์หนังสัตว์ ไม้ เคมีภัณฑ์ ยางและพลาสติก โลหะที่ไม่ใช่เหล็ก เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องมือและเครื่องจักร และยานยนต์และชิ้นส่วน และสินค้าที่ไทยจะสามารถนำเข้าจากยูเออีได้มากขึ้น เช่น น้ำมันและไขมันที่ได้จากพืช เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์โลหะ และยานยนต์และชิ้นส่วน

ทั้งนี้ ล่าสุด เมื่อวันที่ 28 ก.พ.2566 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบให้ไทยร่วมเปิดเจรจาจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (Comprehensive Economic Partnership Agreement : CEPA) ระหว่างไทยกับยูเออี ตามที่หลังจากที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นำเสนอ

ซึ่งเป็นไปตามที่กรมฯ ได้นำผลการศึกษา ผลการระดมความเห็น และร่างกรอบเจรจา FTA ไทย-ยูเออี ซึ่งผ่านการหารือจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคเกษตร และภาคประชาสังคม เสนอกระทรวงพาณิชย์เพื่อนำเสนอ ครม. ให้ความเห็นชอบ

ปัจจุบัน ยูเออีเป็นคู่ค้าอันดับที่ 6 ของไทยในตลาดโลก และอันดับที่ 1 ในตะวันออกกลาง โดยในปี 2565 การค้าระหว่างไทยกับยูเออีมีมูลค่า 20,824.22 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 73.90% โดยไทยส่งออกไปยูเออีมูลค่า 3,420.23 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ

อัญมณีและเครื่องประดับ และไม้ และไทยนำเข้าจากยูเออีมูลค่า 17,403.99 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้านำเข้าสำคัญ เช่น น้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป ก๊าซธรรมชาติ สินแร่โลหะอื่นๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ และเครื่องเพชรพลอย

 

Click Donate Support Web  

kasat 720x100

QIC 720x100

วิริยะ 720x100

AXA 720 x100

aia 720 x100

BKI 720 x 100

PTG 720x100ais 720x100 

TOA 720x100

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!