หมวดหมู่: อสังหาริมทรัพย์ฯ

TRIS7 25


ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร ‘บบส. สุขุมวิท’ ที่ ‘AA+’ และจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน 2.5 พันล้านบาท ที่ ‘AA+’ แนวโน้ม ‘Stable’

     ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) ที่ระดับ ‘AA+’ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 2.5 พันล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 7 ปี ของบริษัทที่ระดับ ‘AA+’ด้วยเช่นกัน

      โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งที่มีต่อสถานะของ บสส. ซึ่งเป็นองค์กรที่มีความสำคัญ (Importance) กับภาครัฐในระดับ ‘สำคัญมาก’ (Very Important) และมีความสัมพันธ์ (Linkage) กับ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (กองทุนฯ) ในระดับ’สูงสุด’ (Integral) โดยกองทุนฯ มีฐานะเป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

      ทั้งนี้ ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าความสัมพันธ์และบทบาทที่แข็งแกร่งมีนัยที่บ่งบอกถึงแนวโน้มที่มีความเป็นไปได้สูงที่ บสส. น่าจะได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนฯ ในยามจำเป็น

 

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

กองทุนฯ ถือหุ้นทั้งหมดและมีบทบาทในการควบคุมดูแล

ทริสเรทติ้ง คงการประเมินความสัมพันธ์ของ บสส. กับกองทุนฯ อยู่ในระดับ ‘สูงสุด’ (Integral) จาก’เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตองค์กรที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐ’ ของทริสเรทติ้ง เนื่องจากกองทุนฯ เป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมดและมีอำนาจควบคุมการดำเนินงานของ บสส. การที่กองทุนฯ ถือหุ้นทั้งหมดใน บสส. ทำให้นโยบายในการดำเนินงานต่างๆ ของบริษัท

ซึ่งรวมไปถึงนโยบายและทิศทางในการดำเนินธุรกิจและนโยบายทางการเงินถูกกำหนดและกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดโดยคณะกรรมการบริษัทผ่านการประชุมของคณะกรรมการทุกเดือนและทุกไตรมาสกับทางกองทุนฯ ทั้งนี้ นอกจากบริษัทจะมีกรรมการบริษัทที่มาจากกองทุนฯ แล้วนั้น

คณะกรรมการของบริษัทยังประกอบด้วยตัวแทนจาก ธปท. กระทรวงการคลัง และหน่วยงานอื่น ๆ ของภาครัฐ ซึ่งเน้นย้ำถึงความใกล้ชิดระหว่างบริษัทและภาครัฐ อีกทั้ง นโยบายการดำเนินธุรกิจและเป้าหมายทางการเงินของบริษัทยังมุ่งเน้นที่เสถียรภาพทางธุรกิจและความรับผิดชอบต่อสังคมมากกว่าผลกำไรอีกด้วย

 

มีบทบาทเชิงนโยบายที่สำคัญในการเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ของรัฐ

      ความสัมพันธ์และความสำคัญของบริษัทต่อกองทุนฯ และ ธปท. ได้รับการสนับสนุนจากบทบาทของบริษัทในการเป็นตัวแทนของ ธปท. ในการดำเนินนโยบายที่สำคัญของธนาคารกลาง โดย บสส. ทำหน้าที่สำคัญในฐานะเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ของรัฐเพียงแห่งเดียวซึ่งมีหน้าที่ในการเป็นหน่วยงานของรัฐในการช่วยรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินโดยการเข้าซื้อสินเชื่อด้อยคุณภาพจากสถาบันการเงินต่างๆ

      โดยบทบาทหน้าที่ของ บสส. เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างที่สำคัญในการรับมือกับสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่เพิ่มขึ้นมากในระบบธนาคารพาณิชย์ บทบาทนโยบายของบริษัทใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมสินเชื่อด้อยคุณภาพของสถาบันการเงินโดยเน้นในการปรับโครงสร้างหนี้

นอกจากการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพแล้ว บสส. ยังมีบทบาทที่เด่นชัดอีกบทบาทหนึ่ง คือการเป็นตัวกลางในการดำเนิน “โครงการคลินิกแก้หนี้” ซึ่งริเริ่มโดย ธปท. เพื่อส่งเสริมการปรับโครงสร้างหนี้โดยสมัครใจสำหรับลูกหนี้รายย่อยที่ประสบปัญหาในการชำระคืนหนี้และเพื่อให้สถาบันการเงินได้รับชำระหนี้คืนมากขึ้น ในปี 2564 โครงการคลินิกแก้หนี้ได้ผ่อนปรนขยับวัน Cut-off Date สำหรับผู้กลับมาเข้าร่วมโครงการอีกครั้ง (Re-entry Applicant) ขยายอายุผู้เข้าร่วมเป็น 70 ปี และผ่อนปรนการพิจารณาเอกสารแสดงรายได้ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงโครงการได้มากยิ่งขึ้น

      ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 โครงการคลินิกแก้หนี้มีจำนวนลูกหนี้ภายใต้โครงการเพิ่มขึ้นอย่างมากโดยอยู่ที่ประมาณ 23,000 รายจากประมาณ 11,000 รายในปี 2563 และ 3,000 รายในปี 2562 ทั้งนี้ ภาระหนี้เงินต้นสะสมรวมของลูกหนี้ภายใต้โครงการอยู่ที่ 4.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 2.5 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2563  และ 760 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2562 ซึ่งการเพิ่มขึ้นของลูกหนี้ภายใต้โครงการอย่างต่อเนื่องแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของบทบาทหน้าที่ของ บสส. ในการช่วยให้ ธปท. บรรลุเป้าหมาย

 

ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ 

      ทริสเรทติ้ง เชื่อว่า บสส. มีโอกาสที่จะได้รับความช่วยเหลือเป็นพิเศษจากกองทุนฯ ในยามวิกฤติ แม้ว่า บริษัทจะไม่ได้รับการสนับสนุนที่เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนจากกองทุนฯ นอกเหนือไปจากเงินกู้ยืมผ่านตราสารหนี้ที่ไม่มีภาระดอกเบี้ยจากกองทุนฯ ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัท

      แต่ทริสเรทติ้งก็มองว่ากองทุนฯ ให้การสนับสนุนทางการเงินโดยอ้อมให้แก่บริษัทผ่านการกำหนดตารางการชำระคืนหนี้ที่ทำให้บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้ โดยกองทุนฯ ได้กำหนดการชำระคืนหนี้ของบริษัทที่ 1.5 พันล้านบาทต่อปี

      โดยเมื่อเทียบเงินจำนวนดังกล่าวกับกระแสเงินสดรับของบริษัทในแต่ละปีที่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาทในอดีตและ 5 พันล้านบาทในปี 2564 แล้ว จะเห็นว่าบริษัทสามารถเก็บเงินสดรับจากการดำเนินงานมาใช้สำหรับการขยายธุรกิจได้

      ทั้งนี้ การชำระคืนหนี้ในปี 2562-2564 ปีละ 1.5 พันล้านบาทนั้นเป็นจำนวนที่ลดลงจากการชำระคืนที่ประมาณ 5 พันล้านบาทในปี 2560 เนื่องจากกองทุนฯ มีนโยบายที่ต้องการให้ บสส. เสริมความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องเพื่อเตรียมความพร้อมกับการคาดการณ์ของสินเชื่อด้อยคุณภาพที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

      นอกจากนี้ ยังไม่มีข้อจำกัดในเชิงกฎระเบียบหรือนโยบายใดๆ ที่จะห้ามมิให้กองทุนฯ ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ บสส. ในกรณีจำเป็น และทริสเรทติ้งยังมีมุมมองว่าการผิดนัดชำระหนี้ของ บสส. อาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของกองทุนฯ ในฐานะที่เป็นผู้ถือหุ้นของ บสส.

 

เป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสอง

      บสส. ถือว่า เป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองในแง่ของขนาดของสินทรัพย์รวมเมื่อเทียบกับบริษัทบริหารสินทรัพย์ทั้งสิ้น 62 แห่งในอุตสาหกรรมบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของไทย โดยสินเชื่อด้อยคุณภาพของ บสส. ส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อที่รับโอนมาจากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) และ บริษัท บริหารสินทรัพย์เพชรบุรี จำกัด (บสพ.) ตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา

      บสส. ได้ทำการซื้อสินเชื่อด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารในจำนวนที่เพิ่มขึ้นตามแนวนโยบายของกองทุนฯ เพื่อให้ บสส. ยังคงดำเนินการต่อและรักษาขนาดของสินเชื่อด้อยคุณภาพเอาไว้ ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 สินเชื่อด้อยคุณภาพสุทธิในอดีตคิดเป็น 33% และสินเชื่อด้อยคุณภาพสุทธิที่ซื้อเข้ามาคิดเป็น 67%

      บริษัทมีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 4.8 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 ซึ่งใหญ่เป็นอันดับสองรองจาก บริษัท บริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (บสก. ได้รับอันดับเครดิต’A-/Stable’ จากทริสเรทติ้ง) ซึ่งมีขนาดสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 1.26 แสนล้านบาท ทั้งนี้ สินทรัพย์รวมของทั้ง บสก. และ บสส. คิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของสินทรัพย์รวมของทั้งอุตสาหกรรมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

      โดยเมื่อเทียบสินทรัพย์ของบริษัทกับขนาดสินทรัพย์ด้อยคุณภาพในระบบการเงินที่มีจำนวนมากกว่า 5 แสนล้านบาท และความช่วยเหลือที่ได้รับจากกองทุนฯ ทริสเรทติ้งมองว่าบทบาทในฐานะบริษัทบริหารสินทรัพย์ของรัฐเพียงแห่งเดียวซึ่งมีหน้าที่ในการเป็นหน่วยงานของรัฐในการช่วยรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินไม่สามารถทดแทนได้โดยบริษัทบริหารสินทรัพย์อื่นๆ ในระยะสั้นถึงปานกลาง

 

ภาระหนี้อยู่ในระดับต่ำ

        กองทุนฯ กำกับดูแลระดับภาระหนี้ของบริษัทจากสัดส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย (ไม่รวมเงินกู้ยืมที่ไม่มีภาระดอกเบี้ยจากกองทุนฯ) เทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้น โดยบริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 0.31 เท่า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 จาก 0.36 เท่า ณ สิ้นปี 2564

        โดยถ้ารวมเงินกู้ยืมที่ไม่มีภาระดอกเบี้ยจากกองทุนฯ บริษัทมีภาระหนี้ของบริษัทจากสัดส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 2.6 เท่า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 ทั้งนี้ หุ้นกู้ชุดใหม่จำนวน 2.5 พันล้านบาทจะเป็นแหล่งเงินทุนที่ช่วยในการขยายการลงทุนซื้อสินทรัพย์ของบริษัทในช่วงต้นปี 2566

        หากคิดรวมหุ้นกู้ชุดใหม่ที่กำลังจะออกอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 2.8 เท่า (ยังไม่รวมการจ่ายคืนหนี้สิน) ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะปรับเพิ่มขึ้นจากการกู้ยืมมาลงทุนซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

 

แหล่งเงินทุนจากเงินสดรับชำระหนี้และวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงิน

      บสส. มีแหล่งเงินทุนเช่นเดียวกันกับบริษัทบริหารสินทรัพย์อื่นๆ โดยมีเงินสดรับชำระหนี้จากลูกหนี้สินเชื่อและวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินต่างๆ เป็นแหล่งเงินทุนหลักสำหรับการขยายธุรกิจ โดยในปี 2563 บริษัทมีกระแสเงินสดรับจากทั้งพอร์ตสินเชื่อด้อยคุณภาพและพอร์ตทรัพย์สินรอการขายลดลงอย่างมากที่ 8.3 พันล้านบาท

      จากประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงก่อนปี 2563 จากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) โดยกระแสเงินสดรับของบริษัทลดลงต่อเนื่องในปี 2564 เป็น 5.5 พันล้านบาทจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการจำหน่ายสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ

      กระแสเงินสดรับของบริษัทในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 จากทั้งพอร์ตสินเชื่อด้อยคุณภาพและพอร์ตทรัพย์สินรอการขายยังคงอ่อนแอลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ทริสเรทติ้งคาดว่ากระแสเงินสดรับของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2566 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแต่ยังคงมีแรงกดดันอยู่

      ซึ่งอาจทำให้บริษัทต้องพึ่งพาการกู้ยืมมากยิ่งขึ้นสำหรับการลงทุนซื้อหนี้ด้อยคุณภาพและทำให้ระดับหนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ในด้านวงเงินกู้ยืมที่มีกับสถาบันการเงิน บริษัทมีวงเงินทั้งสิ้น 1.07 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2565 โดย 38% ของวงเงินดังกล่าวยังไม่ถูกเบิกใช้

 

เป็นโอกาสทางธุรกิจของบริษัทบริหารสินทรัพย์จากการที่หนี้เสียปรับตัวเพิ่มขึ้น

การระบาดของโรคโควิด 19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อระบบเศรษฐกิจของไทย ความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ยืมยังคงอ่อนแอถึงแม้ว่าจะมีมาตรการช่วยเหลือมากมายจาก ธปท. เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบก็ตาม

หนี้เสียจากสถาบันการเงินซึ่งรวมทั้งสถาบันการเงินของไทยและต่างชาติตลอดจนบริษัทเงินทุนเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 5.3 แสนล้านบาท ณ สิ้นปี 2564 จาก 4.65 แสนล้านบาท ณ สิ้นปี 2562 ทริสเรทติ้งคาดว่าสถาบันการเงินจะทยอยจำหน่ายหนี้เสียออกมาเพิ่มขึ้นเพื่อเป็นวิธีหนึ่งในการลดหนี้เสียของสถาบันการเงินต่างๆ

หลังจากที่มาตรการช่วยเหลือสิ้นสุดลงในปี 2564 ซึ่งเห็นได้จากการริเริ่มของ ธปท. ในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่างสถาบันการเงินกับบริษัทบริหารสินทรัพย์เพื่อแก้ปัญหาหนี้เสีย วิธีดังกล่าวจะเป็นโอกาสที่ดีของบริษัทบริหารสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่จะซื้อสินทรัพย์และเพิ่มรายได้ อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเชื่อว่าการจัดเก็บหนี้ที่ช้าลงในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอนี้จะยังคงเป็นปัจจัยท้าทายที่สำคัญสำหรับทุกฝ่าย

 

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่า บสส. จะยังคงสถานะในการเป็นองค์กรที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐและจะรักษาความสัมพันธ์ระดับ’สูงสุด’และบทบาทในระดับ ‘สำคัญมาก’ต่อทั้งกองทุนฯ และธปท. เอาไว้ได้

 

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

      อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของ บสส. อาจมีการเปลี่ยนแปลงหากมุมมองของทริสเรทติ้งทั้งในด้านของระดับความสัมพันธ์ และความสำคัญของ บสส. ที่มีต่อกองทุนฯ และ ธปท. นั้นเปลี่ยนแปลงไป

 

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตองค์กรที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐ, 30 กรกฎาคม 2563

                      

บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM)

อันดับเครดิตองค์กร:

AA+

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 2,500 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 7 ปี

AA+

แนวโน้มอันดับเครดิต:

Stable

 

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com 

ติดต่อ This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.  โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500

      © บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้

      ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Web

 

Click Donate Support Web  

 

EXIM One 720x90 C J

วิริยะ 720x100

AXA 720 x100

aia 720 x100

PTG 720x100TU720x100sme 720x100

BANPU 720x100QIC 720x100

ธกส 720x100

ใจฟู720x100px

ais 720x100

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!