การต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินบัญชี วงเงิน 500 ล้านบาท ของสำนักงานธนานุเคราะห์
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับธนาคารออมสิน วงเงิน 500 ล้านบาท ออกไปอีก 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2569 เพื่อเป็นเงินทุนสำรองสำหรับหมุนเวียนรับจำนำและสำหรับใช้จ่ายในการบริหารเงินให้เกิดสภาพคล่องในกิจการของสำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.)1 ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
พม. รายงานว่า
1. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2565 อนุมัติให้ พม. ต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารออมสิน วงเงิน 500 ล้านบาท ออกไปอีก 2 ปี โดยสัญญาดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 กันยายน 2567 อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก สธค. ยังมีความจำเป็นที่จะต้องมีเงินทุนสำรองหมุนเวียนรับจำนำและอื่นๆ เพื่อให้มีสภาพคล่องในกิจการ ประจำปีงบประมาณ 2568-2569 โดยการกู้เงินประเภทเบิกเกินบัญชี หาก สธค. ไม่ได้เบิกเงินมาใช้จะไม่เสียดอกเบี้ยจ่าย2 ซึ่ง สธค. มีความสามารถชำระหนี้เงินกู้ได้อย่างต่อเนื่องและสามารถนำส่งรายได้แผ่นดินตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) กำหนด จึงไม่ส่งผลกระทบต่อการบริหารทางการเงินการคลังของรัฐในภาพรวม ทั้งนี้ คณะกรรมการอำนวยการสำนักงานธนานุเคราะห์ในการประชุม ครั้งที่ 5/2566 เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 ได้มีมติเห็นชอบการต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี วงเงิน 500 ล้านบาท ออกไปอีกเป็นเวลา 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2569 และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้เห็นชอบการต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าวของ สธค. แล้ว รวมทั้งวงเงินดังกล่าวได้รับการบรรจุไว้ในการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2567 ครั้งที่ 1 ด้วยแล้ว
2. พม. แจ้งว่า กค. พิจารณาแล้วเห็นว่า การดำเนินงานที่ผ่านมา สธค. จะมีเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี จำนวน 500 ล้านบาท เพื่อรองรับการดำเนินงานและลดความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่องทางการเงินในระยะสั้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการให้บริการประชาชน ประกอบกับ สธค. ยังคงมีผลประกอบการและมีความสามารถในการชำระหนี้อยู่ในเกณฑ์ดี ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจึงให้ความเห็นชอบให้ พม. ต่ออายุสัญญาเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าว โดย กค. ไม่ค้ำประกัน ตามนัยมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้ การกู้เงินดังกล่าวต้องกระทำด้วยความรอบคอบและคำนึงถึงความคุ้มค่า ความสามารถในการชำระหนี้ รวมถึงการกระจายภาระการชำระหนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 รวมทั้งดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
____________________
1 สำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) หรือโรงรับจำนำของรัฐ เป็นรัฐวิสาหกิจภายใต้การกำกับดูแลของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ พม. มีนโยบายในการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยและผู้ประสบปัญหาทางการเงินที่ต้องการนำเงินไปแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าหรือเป็นทุนในการประกอบอาชีพ โดยการนำทรัพย์สินมาจำนำและเสียดอกเบี้ยในอัตราต่ำ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนอันจะนำมาสู่การสร้างความมั่นคงในการดำรงชีวิต และเป็นกลไกของรัฐในการตรึงระดับอัตราดอกเบี้ยรับจำนำไม่ให้โรงรับจำนำทั่วไปเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยหรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด
2 ดอกเบี้ยจ่าย/ต้นทุนทางการเงิน เป็นค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนที่เกิดขึ้นจากการก่อหนี้สินของกิจการ เช่น ดอกเบี้ยเงินกู้ ทั้งนี้ จากการประสาน สธค. แจ้งว่า หากมีการเบิกเงินมาใช้จะเสียดอกเบี้ยตามอัตราดอกเบี้ยประเภทเงินฝากประจำ 12 เดือน ในอัตราสูงสุด สำหรับผู้ฝากบัญชีทั่วไปของธนาคารออมสิน ร้อยละ 1.70 บวกร้อยละ 1.25
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน (นายกรัฐมนตรี) 25 มิถุนายน 2567
6799