หมวดหมู่: บทวิเคราะห์
DBS
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 
“ซื้อใหม่เมื่อหุ้นและตลาดบวก”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
  ภาวะตลาดและปัจจัย : ต่างประเทศ – US bond yield ยังคงเปรับขึ้น โดยอายุ10 ปีขึ้นเป็น 2.975% (สูงสุด 2.999%) เพราะกังวลว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่คาดในปีนี้ ค่าเงิน US$ แข็งขึ้น ล่าสุด Dollar index อยู่ที่ 90.947 (เพิ่มจาก 89.481 เมื่อ 3 วันทำการก่อน) ในประเทศ –รอบนี้ SET บวกขึ้นขึ้นราว 80 จุดในช่วง 8 วันทำการที่ผ่านมา จึงมีแรงขายทำกำไร เมื่อวานนี้ SET Index ปิด -11.14 จุด (-0.62%) ที่ 1790.14แม้ว่ากลุ่มส่งออกจะปรับขึ้นได้ดีจากเงินบาทที่อ่อนลง แต่ก็มี Market cap ต่ำ จึงไม่สามารถพยุงตลาดไว้ได้ สถาบันในประเทศ&ต่างชาติขายสุทธิ
  Update กลุ่มและหุ้น : กลุ่มส่งออก - เติบโตแข็งแกร่ง มูลค่าส่งออกเม.ย.ของไทยทำ Record high ที่ 2.236 หมื่นล้านUS$ (+7.06%YoY) และ งวด 3M61 โต 11.29%YoY สู่ระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี และเกินดุลการค้า 1.957 พันล้านUS$ สินค้าอุตสาหกรรมที่โตดีเป็น คอมพิวเตอร์ & ชิ้นส่วน,น้ำมันสำเร็จรูป, เม็ดพลาสติก, แผงวงจรไฟฟ้า ส่วนสินค้าเกษตรที่ส่งออกเพิ่มขึ้น คือ ข้าว, มันสำปะหลัง, ไก่แช่แข็งและแปรรูป และการที่ค่าเงินบาทอ่อนลงก็ช่วยหนุนรายได้และมาร์จิ้นรูปบาทของกลุ่มส่งออกด้วย แนะนำซื้อ DELTA, HANA และทยอยสะสม GFPT รอการฟื้นตัวใน 3Q61
  PTT - เริ่มซื้อขายพาร์ใหม่ 1 บาทวันนี้ คาดทำให้การซื้อขายของหุ้นและตลาดคึกคักขึ้น ด้าน PTTEP ประกาศพร้อมเข้าประมูลแหล่งบงกชและ เอราวัณที่จะหมดสัมปทานปี 65-66 หลัง TOR เรียบร้อย แนะนำซื้อ PTT ให้ TP 63.50 บาท (พาร์ 1 บาท) มี Upside จากราคาปิดวานนี้ 11%
  GOLD - คาดกำไรงวดม.ค.-มี.ค.61 เติบโตสูงถึง 47%YoY เป็น 3.2 พันล้านบาท จากการโอนเพิ่ม การขายตึก FYI ของกอง REIT คาดว่าจะเสร็จในปลายปี 61 หรือต้นปี 62 ปัจจุบันมีอัตราเช่าพื้นที่ 95% ระยะยาวจะมีรายได้ค่าเช่า & บริการที่แน่นอนมากขึ้น แนะซื้อ ให้ TP 10.71 บาท
  การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพเป็นลบเล็กๆ ซื้อใหม่เน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1800, 1810-1820 Stop loss ถ้าหลุด 1790 สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น TISCO, GOLD, CKP, NETBAY, IVL, UV ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ ROBINS, CPN, JWD, GULF, THG, WHA, BJC ที่หลุด List คือ AEONTS, ERW และที่ให้หาจังหวะ Take profit เป็น AOT, THANI, HMPRO
ปัจจัยต่างประเทศ
• ยูโรโซน : ดัชนี PMI รวมภาคผลิต-บริการขั้นต้นเดือนเม.ย.ทรงตัวที่ 55.2
  # มาร์กิตเปิดเผยว่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการขั้นต้นของยูโรโซน อยู่ที่ 55.2 ในเดือนเม.ย.ไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขเดือนมี.ค. โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนเม.ย.ลดลงสู่ระดับ 56.0 ต่ำสุดรอบ 14 เดือน จากระดับ 56.6 ในเดือนมี.ค. สำหรับดัชนี PMI ภาคบริการขั้นต้นอยู่ที่ 55.0 ในเดือนเม.ย. ขยับขึ้นจาก 54.9 เมื่อเดือนมี.ค.
+ สหรัฐ : ดัชนี PMI ภาคผลิต-บริการเบื้องต้นเดือนเม.ย.เพิ่มขึ้นเป็น 54.8
  # มาร์กิตเปิดเผยว่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต และภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ดีดตัวสู่ระดับ 54.8 ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน หลังจากแตะ 54.2 ในเดือนมี.ค.
  # สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่ายอดขายบ้านมือสอง +1.1%MoM ในเดือนมี.ค. สู่ระดับ 5.60 ล้านยูนิต จากระดับ 5.54 ล้านยูนิตในเดือนก.พ.
• ภาวะตลาดหุ้นสหรัฐ : ดัชนี DJIA ปิดลบเล็กน้อย
  # ดัชนี DJIA ปิด 24,448.69 จุด ลดลง 14.25 จุด หรือ -0.06% ดัชนี Nasdaq ปิด 7,128.60 จุด ลดลง 17.52 จุด หรือ -0.25% และดัชนี S&P500 ปิด 2,670.29 จุด เพิ่มขึ้น 0.15 จุด หรือ +0.01%
  # อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่พุ่งขึ้นกดดันตลาดหุ้น แต่การเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 1 ช่วยพยุงเอาไว้
+ ภาวะตลาดน้ำมัน : ราคาขยับขึ้นต่อ
  # ความกังวลสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง ซึ่งรวมถึงการสู้รบระหว่างซาอุดิอาระเบียและกลุ่มกบฎฮูตีในเยเมน (ที่อิหร่านหนุนหลัง) ทำให้ราคาน้ำมันดิบยืนอยู่ได้ในระดับสูง ปิดตลาดสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 24 เซนต์ หรือ +0.4% ปิดที่ 68.64 ดอลลาร์/บาร์เรล และ BRENT ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 65 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 74.71 ดอลลาร์/บาร์เรล
- ภาวะตลาดทองคำ : ราคาทองร่วงกว่า 1%
  # สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ร่วงลง 14.30 ดอลลาร์ หรือ 1.07% ปิดที่ 1324.00 ดอลลาร์/ออนซ์ จาก Bond yield สหรัฐพุ่งขึ้นและค่าเงิน US$ แข็ง
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่นบจ.
+ ไทย : ส่งออกเดือนมี.ค. เติบโต 7.06% … อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
  # กระทรวงพาณิชย์แถลงตัวเลขส่งออกมี.ค.61 มีมูลค่า 22,362.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 7.06% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 21,094.7 ล้านเหรียญ ขยายตัว 9.47% ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 1,268.1 ล้านเหรียญ
  # ตลาดอินเดีย อาเซียน 5 CLMV และสหรัฐ มีการขยายตัวในระดับสูง ส่วนตลาดจีนลดลง 8.7%YoY เพราะฐานสูงจากส่งออกยางพาราในช่วงเดียวกันปีก่อน
  # สินค้าที่มีการขยายตัวส่งออกในระดับสูง ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป เม็ดพลาสติก และแผงวงจรไฟฟ้า ขณะที่การส่งออกสินค้ากลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร หดตัว 3.3% ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 16 เดือน มาจากการหดตัวของยางพารา และน้ำตาลทราย ขณะที่สินค้าที่ยังขยายตัวดี ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ข้าว ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป
  # งวด 3M61 การส่งออกมีมูลค่า 62,829.4 ล้านเหรียญ ขยายตัว 11.29% ซึ่งสูงสุดในรอบ 7 ปี และนำเข้ามีมูลค่า 60,872.8 ล้านเหรียญ ขยายตัว 16.16% ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 1,956.6 ล้านเหรียญ
+ กระทรวงพลังงานเปิดประมูลแหล่งบงกช-เอราวัณในรูปแบบ PSC วันนี้ (24 เม.ย.)
  # นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงาน เปิดเผยว่าที่ประชุมกพช.รับทราบการเปิดประมูลแหล่งก๊าซธรรมชาติที่กำลังจะสิ้นอายุสัมปทานในปี 2565-2566 (แหล่งเอราวัณ และแหล่งบงกช) โดยให้ออกประกาศเชิญชวนผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมประมูลในนี้ (24 เม.ย.) ตาม TOR การเปิดประมูลระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (Product Sharing Contract : PSC)
  # ทั้งนี้ในสัญญา PSC ระบุว่าผู้ร่วมประมูลต้องทำการผลิตไม่น้อยกว่าจำนวนที่กำหนดไว้, เสนอราคาก๊าซฯที่ไม่สูงกว่าราคาเฉลี่ยในปัจจุบัน ตามสูตรราคาที่กำหนดในเงื่อนไขการประมูล, รัฐจะได้ส่วนแบ่งกำไรไม่ต่ำกว่า 50% บวกผลประโยชน์พิเศษต่างๆ, ต้องจ้างพนักงานไทยไม่ต่ำกว่า 80% ในสิ้นปีที่ 1 และไม่ต่ำกว่า 90% ในสิ้นปีที่ 5 ของการดำเนินงาน
  # PTTEP พร้อมเข้าร่วมประมูลทั้งสองแหล่ง ทั้งนี้ปัจจุบันแหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณและบงกชมีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 2,110 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน คิดเป็น 75% ของก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้ในอ่าวไทย โดยแหล่งเอราวัณมีปริมาณการผลิต 1,240 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งอยู่ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ซึ่งจะสิ้นอายุสัมปทาน 23 เมษายน 2565 ส่วนแหล่งบงกชมีปริมาณการผลิต 870 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน อยู่ภายใต้การดำเนินงานของ PTTEP โดยสัมปทานใบที่ 1 จะสิ้นสุด 23 เมษายน 2565 และสัญญาสัมปทานอีกใบจะสิ้นอายุสัมปทาน 7 มีนาคม 2566
+ PTT : ซื้อขายราคาพาร์ใหม่ 1 บาทตั้งแต่วันนี้ (24 เม.ย.) เป็นต้นไป
  # หุ้น PTT จะซื้อขายที่ราคาพาร์ใหม่ 1 บาทตั้งแต่ 24 เม.ย.61 เป็นต้นไป ซึ่งการแตกพาร์ไม่ได้ทำให้ปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนแปลง แต่ช่วยให้สภาพคล่องในการซื้อขายหุ้น เพราะราคาต่อหน่วยที่ต่ำลงเปิดทางให้นักลงทุนรายย่อยสามารถซื้อขายหุ้น PTT ได้มากขึ้น
  # สำหรับ PTTOR คาดว่าจะโอนสินทรัพย์เสร็จภายใน 3Q61 และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดฯ ปี 62
  # เรามองว่าหุ้น PTT มีปัจจัยกระตุ้นอยู่หลายประเด็น ได้แก่ 1. ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นหนุนกำไรของธุรกิจสำรวจและผลิต (PTTEP)} 2. การเข้าถือหุ้น IRPC เพิ่มเป็น 48% (เดิม 38.5%) ทำให้ได้รับส่วนแบ่งกำไรสูงขึ้น, 3. สเปรดปิโตรเคมีที่แข็งแกร่งหนุนกำไรบริษัทร่วมทั้ง PTTGC & IRPC โดย IRPC จะมีกำไรเพิ่มขึ้นดีจากการโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพและเพิ่มผลิตภัณฑ์ Value added ด้วย, 4. มีกำไรจากการขายสินทรัพย์เข้า PTTOR, 5. PTTEP มีโอกาสชนะประมูลสัมปทานแหล่งบงกชและเอราวัณ โดยจะทราบผลประมูลปลายปี 61 เซ็นสัญญาต้นปี 62 แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐานเฉลี่ยใน Consensus อยู่ที่ 63.50 บาท/หุ้น (ราคาพาร์ 1 บาท) ซึ่งมี Upside จากราคาปิดล่าสุด 11%
+ GOLD : คาดกำไรงวดม.ค.-มี.ค.61 (ไตรมาส 2 ปี 61/62) จะโตก้าวกระโดด 47%YoY
  # คาดกำไรงวดม.ค.-มี.ค.61 เติบโตสูงถึง 47%YoY เป็น 3.2 พันล้านบาท จากการโอนเพิ่ม ด้านยอดขาย Presales ทำได้ดีและเป็นไปตามเป้าหมาย (ตั้งเป้าโต 33% ในปี 61/62)
  # การขายตึก FYI ของกอง REIT คาดว่าจะเสร็จในปลายปี 61 หรือต้นปี 62 ปัจจุบันมีอัตราเช่าพื้นที่ 95%
  # ระยะยาวจะมีรายได้ค่าเช่า & บริการที่แน่นอนมากขึ้น โดยจะเห็นตั้งแต่ปี 63 เมื่อโครงการสามย่านมิตรทาวน์เสร็จ
  # คำแนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 10.71 บาท
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
OO7897

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!