หมวดหมู่: บริษัทจดทะเบียน

1aPTG


 

'พิทักษ์ รัชกิจประการ' PTG แกร่งไม่หวั่นแม้เจอวิกฤติ COVID 19 วางไทม์ไลน์ดันธุรกิจ non-oil 5 แห่งเข้าตลาดหุ้น

       ต้องบอกว่า ตั้งแต่ต้นปี 2563 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยหดตัวอย่างมาก จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่สำหรับนักบริหารเจ้าของธุรกิจพลังงานอย่างคุณ ‘พิทักษ์ รัชกิจประการ’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) กลับเดินหน้าสู้วิกฤติอย่างเด็ดเดี่ยว แถมวางไทม์ไลน์ประกาศดัน 5 ธุรกิจ non-oil เข้าตลาดหุ้นปี 65-67 อีกด้วย ที่สำคัญเขาย้ำว่า ปี 2563 นี้เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ไม่ได้ตก และไตรมาส 4 น่าจะโตกว่าเดิม ในมุมยอดขายครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรก กำไรน่าจะดีขึ้นด้วย เพราะค่าการตลาด ประมาณลิตรละ 1.90 บาท หรืออยู่ในช่วง 1.80-2.00 บาท จนถึงปลายปีน่าจะยังทรงตัวที่ 1.90 บาท

 

โชว์กำไร Q2/62 เพิ่มขึ้น 20.3%

       นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) PTG เผยผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปี 2563 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 513 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 20.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายและการเข้มงวดในการลงทุนของบริษัทฯ ประกอบกับการที่ค่าการตลาดในไตรมาสนี้ดีขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรก่อนหักภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA) อยู่ที่ 1,646 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 287 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 21.2%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

       ทั้งนี้ บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการบริการอยู่ที่ 22,257 ล้านบาท ลดลง 9,587 ล้านบาท หรือลดลงคิดเป็น 30.1%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาขายน้ำมันที่ปรับตัวลดลงกว่า 30.7% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลกระทบจากการระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ( COVID-19) ทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันภาพรวมของประเทศลดลง 7.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

       คุณพิทักษ์ ยังเปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินงานในปี 2563 นี้ ว่า ยังมีโอกาสที่ยอดขายจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่เคยวางไว้ในช่วงต้นปีในระดับ 10-15% แม้ว่า ช่วงต้นปีจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด แต่ขณะนี้ปริมาณขายน้ำมันกลับมาสู่ระดับปกติ 100% ถือว่า ฟื้นตัวได้เร็วมากหลังจากรัฐบาลปลดล็อกดาวน์กิจกรรมทางเศรษฐกิจเกือบทั้งหมด ทำให้ขณะนี้บริษัท คาดว่า ยอดขายทั้งปีจะเติบโตได้ราว 8-12%

        “ยอดขายครึ่งปีหลังส่วนใหญ่จะดีกว่าครึ่งปีแรก ยอดขายวันนี้ดูแนวโน้มวันต่อวัน ปกติเดือน กันยายนในหน้าฝนจะไม่ค่อยดี แต่ปีนี้เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ไม่ได้ตกลงไปเยอะ และไตรมาส 4 น่าจะโตกว่าเดิม ในมุมยอดขายครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรก กำไรน่าจะดีขึ้นด้วย เพราะค่าการตลาด ประมาณลิตรละ 1.90 บาท หรืออยู่ในช่วง 1.80-2.00 บาท จนถึงปลายปีน่าจะยังทรงตัวที่ 1.90 บาท”

 

Q4 กดปุ่มขยายสาขาอีกครั้ง

      สำหรับ ข่าวลือที่ออกมาว่าบริษัทเตรียมเพิ่มทุนเพื่อรองรับการลงทุนใหม่ๆ นั้น บริษัทขอยืนยันว่า จะไม่มีการเพิ่มทุนอย่างแน่นอน โดยหลังจากนี้ จะไม่มีการลงทุนที่ต้องใช้เงินทุนจำนวนมากแล้ว เพราะช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าไปลงทุนไว้มาก และสำหรับการลงทุนใหม่ๆ บริษัทก็มีแหล่งเงินที่เพียงพอ และหากจะเกิดขึ้นก็เป็นทางเลือกสุดท้าย

       ทั้งนี้ จากสถานการณ์โควิดทำให้ตัวเลขสัดส่วนยอดขายดีเซลเพิ่มขึ้นมาเป็น 73-74% จากปีที่แล้วอยู่ที่ 72% เนื่องจากรถยนต์ที่ใช้เบนซินไม่ค่อยได้ออกมาวิ่งในช่วงล็อกดาวน์ ขณะที่รถบรรทุกยังต้องวิ่งส่งสินค้า ซึ่งค่าการตลาดดีเซลดีกว่าเบนซิน จึงส่งผลดีต่อบริษัทด้วย

        “กำไรดีเพราะยอดไม่ได้ตก โควิดเรากระทบน้อย และฟื้นตัวได้เร็ว เดือน เม.ย.ลงไป แต่ พ.ค.ฟื้นขึ้นมา ตอนนี้กลับมาเรียกได้ว่า 100% แล้ว และโควิดทำให้ลดค่าใช้จ่ายได้มาก เวลาเราขอความร่วมมือในองค์กรให้ทุกคนประหยัด ก็ได้รับการสนับสนุน ไม่อิดออด ทำให้ลดค่าใช้จ่าย ไม่ใช่ทำได้ 100 นะ แต่ได้เกิน 100% เมื่อยอดขายปกติ แต่ค่าใช้จ่ายลดลงไปมาก ครึ่งปีหลังน่าจะส่งผลดีต่อกำไร”

       อย่างไรก็ตาม คุณพิทักษ์ บอกว่า หลังจากวิกฤติโควิดผ่านไปแล้ว และทุกอย่างเริ่มกลับมาดีขึ้น ทำให้บริษัทมองโอกาสการขยายกิจการกลับมา โดยเฉพาะการขยายสาขาปั๊มน้ำมัน แม้ว่า จะชะลอไปในช่วงก่อนหน้านี้ แต่บริษัทยังเจรจากับผู้ให้เช่าพื้นที่ตั้งปั๊มน้ำมัน และผู้ที่สนใจมาเป็นแฟรนไชส์อย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้มี 100-200 รายในมือ อีกทั้ง ยังได้เงื่อนไขที่ดีขึ้น โดยเฉพาะค่าเช่าที่ถูกลง ดังนั้น ในไตรมาส 4/63 บริษัทจะกลับมากดปุ่มขยายสาขาอีกครั้ง

        “วิกฤติปี 40 เราเกือบจะล้มละลายไปแล้ว ทั้งๆที่วิกฤติเล็กกว่าตอนนี้ แต่ตอนนั้นที่เกิดกับเรามันยิ่งใหญ่มาก แต่ครั้งนี้วิกฤติโควิดที่เกิดขึ้นแม้จะยิ่งใหญ่กระทบไปทั้งโลก เอาง่ายๆ ตั้งแต่รากหญ้าไปยันบริษัทใหญ่ๆ แต่สิ่งที่เราเรียนรู้และมีประสบการณ์จากต้มยำกุ้งทำให้การรับมือกับปัญหา มีสติในการวางแผนการแก้ไขปัญหาได้อย่างสบายสบาย ไม่ panic” เขากล่าว

 

จัดทัพ 5 ธุรกิจ non-oil เข้าตลาดหุ้น

       คุณพิทักษ์ กล่าวพร้อมเปิดเผยต่อว่า หากมองที่กลุ่มธุรกิจของบมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG ) บริษัทมีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างครบวงจร โดยกลุ่มธุรกิจของบริษัทแบ่งออกได้เป็น 7 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1. ธุรกิจจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง (ซึ่งเป็นธุรกิจหลักและธุรกิจเริ่มแรกของบริษัท) และธุรกิจค้าปลีก 2. ธุรกิจจำหน่ายแก๊ส LPG 3. ธุรกิจขนส่งและการจัดการคลังสินค้า โดยเป็นกิจการขนส่งน้ำเชื้อเพลิงสำหรับสถานีบริการน้ำมัน PT และการบริหารสินค้าคงคลัง 4. ธุรกิจพลังงานทดแทน และธุรกิจผลิตจำหน่ายไบโอดีเซล และน้ำมันปาล์มบริโภค 5. ธุรกิจระบบการบริหาร และซ่อมบำรุงอุปกรณ์ในสถานีบริการ 6. ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม และการให้เช่าพื้นที่ภายในสถานีบริการน้ำมันที่บริษัทเป็นเจ้าของ 7. ธุรกิจให้ศูนย์บริการและซ่อมบำรุงรถยนต์ และรถเชิงพาณิชย์

       พิทักษ์ บอกว่า ได้กำหนดไทม์ไลน์ผลักดันบริษัทย่อยภายใต้ธุรกิจ non-oil ทั้ง 5 บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่ ธุรกิจก๊าซ LPG, ธุรกิจปาล์มคอมเพล็กซ์, ธุรกิจร้านมินิมาร์ท , ธุรกิจกาแฟ, และธุรกิจให้บริการซ่อมบำรุงรถยนต์

 

แอตลาสฯแต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงิน

               หลังจากธุรกิจเริ่มเข้าสู่ช่วงสร้างกำไร ขณะนี้ได้มีการแต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) แล้ว เพื่อเตรียมแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนและเตรียมจัดทำแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ธุรกิจก๊าซ LPG ภายใต้ บริษัท แอตลาส เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด ที่ PTG ถือหุ้นราว 99% คาดว่า จะเข้าตลาดหุ้นได้เป็นบริษัทแรกในช่วงต้นปี 2565

       บริษัทมีเป้าหมายจะก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 1 ธุรกิจก๊าซ LPG ที่ใช้กับยานยนต์ (Auto LPG) ในปี 64 จากปีนี้อยู่ในอันดับ 6 ด้วยการขยายสถานีบริการให้ได้ปีละ 50 แห่ง ทั้งในรูปแบบที่บริหารงานเอง (COCO) และเฟรนไชส์ (DODO) จากปัจจุบันที่มีอยู่ 200 แห่ง และจะขยายตลาดก๊าซ LPG บรรจุถังเพื่อใช้ในครัวเรือนที่มองว่าความต้องการใช้ยังเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ได้เข้าไปขยายตลาดในกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าในตลาดขายอาหารปรุงสำเร็จไปแล้ว โดยภาพรวมของธุรกิจก๊าซ LPG ทำกำไรขั้นต้นได้ดีกว่าธุรกิจน้ำมันถึง 3 เท่า

 

ปาล์มคอมเพล็กซ์ เข้าตลาดฯปี 2564

       เขาย้ำพร้อมบอกต่อว่า พร้อมกันนั้น PTG ยังเตรียมนำธุรกิจปาล์มคอมเพล็กซ์ กำลังการผลิต 5.1 แสนตัน ที่ถือหุ้นในสัดส่วน 40% เข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2564 ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างคัดเลือก FA โดยเป็นธุรกิจที่มีการผลิตครบวงจรตั้งแต่โรงสกัดน้ำมันปาล์ม (CPO) ไปถึงการผลิตไบโอดีเซล B100 และยังมีผลผลิตอื่นๆ ที่เป็นผลพลอยได้ เช่น กลีเซอรีนบริสุทธิ์ เป็นต้น ขายให้กับทั้ง PTG และบริษัทอื่นๆ นอกกลุ่ม ซึ่งปีนี้ คาดว่าจะทำรายได้ราว 600 ล้านบาท

        “ปัจจุบัน ปาล์มคอมเพล็กซ์ได้เตรียมพร้อมพื้นที่ คลังเก็บน้ำมันปาล์ม และไบโอดีเซล ที่ขยายเพิ่มได้อีก 5 หมื่นตันจากที่มีอยู่ 5-6 หมื่นตัน สำหรับการขยายกำลังการผลิตได้อีกเท่าตัวในเฟสที่ 2 เพราะคิดแค่หากปริมาณการใช้ไบโอดีเซลของ PTG ต่อวันอยู่ที่ราว 1 ล้านลิตร ดังนั้น การระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์จะเข้ามาช่วยขยายธุรกิจในส่วนนี้ ตัว LPG กับปาล์มเขากำลังแข่งกันว่าใครจะมีกำไรสุทธิตอนเข้า กับ P/E เป็นอย่างไร แต่ตัว LPG น่าจะไม่เกินครึ่งแรกของปี 2565” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PTG กล่าว

 

ธุรกิจกาแฟ- Autobacs เข้าตลาดฯปี 2567

       นอกจากนี้ เขาเปิดเผยต่อว่า ในปี 2567 ธุรกิจที่เตรียมจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ (SET) คือ ธุรกิจกาแฟ ปัจจุบันมีจำนวนสาขาประมาณ 329 สาขา แบ่งเป็นพันธุ์ไทย 260 สาขา และคอฟฟี่เวิลด์ 69 สาขา หลังจากที่บริษัทได้เริ่มดำเนินงานมาเป็นเวลา 7-8 ปี ขณะนี้ได้เห็น EBITDA ฟื้นจากติดลบมาเป็นศูนย์แล้วในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเร็วกว่าที่คาดว่า จะเป็นศูนย์ในช่วงปลายปีนี้ แม้ว่า จะได้รับผลกระทบในช่วงโควิดทำให้ยอดขายหดตัวลงไป แต่ตั้งแต่ในเดือน พ.ค.เป็นต้นมาเริ่มฟื้นตัว จนถึงเดือน ส.ค.เติบโตได้ถึง 20% จากข่วงเดียวกันของปีก่อน และในเดือน ก.ย.เติบโตได้ถึง 27% ดังนั้น ปีหน้าธุรกิจกาแฟจะเข้าสู่ช่วงเริ่มนับหนึ่งในการทำกำไร

       พร้อมกันนั้น ศูนย์บริการรถยนต์ออโต้แบคส์ (Autobacs) และศูนย์บริการซ่อมบำรุงรักษารถบรรทุกโปรทรัค (Pro Truck) จะทยอยถึงจุดคุ้มทุนในอีก 1-2 ปีข้างหน้า รวมถึง ธุรกิจร้านมินิมาร์ท MAX Mart ก็มีลุ้นที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 67 โดยเฉพาะร้าน MAX Mart ขณะนี้สาขายังอยู่เฉพาะภายในศูนย์บริการน้ำมันและก๊าซ LPG ของ PTG แต่ละในอนาคตยังมีช่องทางขยายไปตั้งเป็นสาขา Stand-alone ได้

 

PT MAX Card เพิ่ม 15 ล้านราย

       คุณพิทักษ์ กล่าวว่า อาวุธสำคัญในมือของ PTG ในการขยายธุรกิจ non-oil คือบัตร PT MAX Card ขณะนี้มียอดผู้ถือบัตรแล้ว 14 ล้านรายและคาดว่าจะเพิ่มเป็น 15 ล้านรายในสิ้นปีนี้ จากนั้นจะผลักดันให้ขยายไปสู่เป้าหมาย 20 ล้านรายในปี 2565 ซึ่งจะเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ที่เป็นลูกค้าทุกระดับชั้น ทำให้บริษัทรับทราบพฤติกรรมของลูกค้าในการใช้ทุกบริการ จึงจะช่วยสนับสนุนให้บริษัทสามารถขยายบริการด้าน non-oil ได้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี

        “บริษัทตั้งเป้าหมายในอนาคตที่จะขยายสัดส่วนรายได้ของ non-oil ให้เป็น 60% ภายในปี 2566 จากที่อยู่ในระดับไม่ถึง 1% ในปีนี้ เพราะแนวโน้มของรายได้จากการขายน้ำมันโดยเฉลี่ยต่อปั๊มน้ำมันแต่ละแห่งของทุกแบรนด์ลดลง ขณะที่ทุกแบรนด์ก็แข่งขันกันขยายจำนวนเพิ่มขึ้น ทำให้อัตราการเกิดของปั๊มน้ำมันใหม่สวนทางกับการบริโภคในประเทศที่กำลังติดลบ ขณะที่ใช้เงินลงทุนสูงขึ้นและแข่งกันสร้างปั๊มขนาดใหญ่ขึ้น”

 

PTG ที่ BBB+ เครดิต Stable

       นอกจากนี้ แล้วคุณพิทักษ์ยังเปิดเผยต่อว่า ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทอยู่ที่ระดับ BBB+ พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’

       พร้อมกันนี้ ทริสเรทติ้ง ยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 1 พันล้านบาทของบริษัทที่ระดับ ‘BBB+’ ด้วยเช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ในการชำระคืนเงินกู้ และ/หรือไถ่ถอนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระ

       โดยอันดับเครดิต สะท้อนถึงสถานะทางการตลาดของบริษัทที่แข็งแกร่งขึ้นในธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน ตลอดจนเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันที่ครอบคลุม ซึ่งอันดับเครดิตถูกลดทอนโดยระดับหนี้สินที่สูง รวมถึงความอ่อนไหวต่อการแทรกแซงราคาน้ำมันจากภาครัฐ และการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน

       ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด 19 ส่งผลให้การบริโภคน้ำมันภายในประเทศลดลง เกิดการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งในไตรมาส 2 บริษัท มียอดการจำหน่ายน้ำมันลดลง 1% จากไตรมาสก่อน มีรายได้จากการดำเนินงาน 2.2 หมื่นล้านบาทและ และกำไรสุทธิอยู่ที่ 513 ล้านบาท ขณะที่กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ 1.6 พันล้านบาท ด้วยปัจจัยดังกล่าว บริษัทจึงปรับลดเป้าหมายของการขยายสถานีบริการน้ำมันและธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่น้ำมันลง โดยปรับการขยายสถานีบริการน้ำมันใหม่ลง เหลือไม่เกิน 100 สถานีในปี 2563 พร้อมปรับลดเงินลงทุนลงจาก 4.5 พันล้านบาท เหลือ 3 พันล้านบาท

        “โดย ทริสเรทติ้ง ยังคาดว่าปริมาณความต้องการน้ำมันจะกลับมาสูงขึ้นช่วงครึ่งหลังของปี 2563 หลังการผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ แต่ปริมาณความต้องการใข้น้ำมันอาจจะยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่เนื่องจากยังมีความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดการระบาดของโรคโควิด 19 ระลอกที่สอง

       ในส่วนของแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้ง ว่าบริษัทจะสามารถดำรงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันเอาไว้ได้ และบริษัทจะมีความระมัดระวังในการขยายธุรกิจ ทริสเรทติ้งคาดว่าระดับหนี้สินของบริษัทจะยังคงอยู่ในช่วงที่ได้คาดการณ์ไว้” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PTG กล่าว

       ท้ายที่สุด คงต้องบอกว่า…ไม่ว่า จะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม PTG ยังสามารถฝ่าฟันและแข็งแกร่งในการต่อสู้กับวิกฤติเสมอ อย่างที่คุณพิทักษ์ กล่าวอย่างเสมอว่า  ‘บริษัทมีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างครบวงจร’……

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!