หมวดหมู่: บทวิเคราะห์

บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 7-7-2020ASP


MARKET TALK

กลยุทธ์การลงทุน

ตัวเลขเศรษฐกิจ มิ.ย. ส่งสัญญาณฟื้นตัว เป็นเรื่องปกติสำหรับการกลับมาเกิดกิจกรรมเศรษฐกิจอีกครั้งหลังที่หยุดชะงักมา 3-4 เดือน แต่ยังอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องติดตามใกล้ชิด เชื่อ Fund flow ที่ไหลกลับเข้าสินทรัพย์เสี่ยงช่วงนี้น่าจะเกิดในระยะสั้น กำหนดกลยุทธ์เชิง Trading ปรับพอร์ตโดยลด BTSGIF ลงนำเงินเข้า BBL 10% Top Pick เลือก BBL และ SPVI

Fund Flow ไหลกลับเข้าสินทรัพย์เสี่ยงในระยะสั้น

การคลาย Lockdown ให้กิจกรรมเศรษฐกิจกลับมาเคลื่อนไหวได้ตามปกติ หลังจากที่อยู่ในภาวะแทบหยุดนิ่งมา 3-4 เดือน ทำให้ตัวเลขดัชนีทางเศรษฐกิจต่างๆ ในเดือน มิ.ย.กลับมาฟื้นตัวดังจะเห็นได้จาก PMI ภาคบริการในสหรัฐฯ และ จีน ที่ปรับตัวสูงขึ้นไป สัญญาณดังกล่าวเป็นแรงขับเคลื่อนให้ Fund Flow ไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตามสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังอยู่ในภาวะที่ต้องติดตามใกล้ชิด ภายใต้ความเชื่อที่ตรงกันของหลายฝ่ายว่า การกลับมาของกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลัง Covid-19 จะมีภาพที่แตกต่างไปจากช่วงก่อนหน้าโดยที่ชัดเจนคาดว่าจะเห็นจำนวนผู้ว่างงานที่สูงขึ้น การหดตัวของกำลังซื้อ รวมถึงการค้า-การเดินทางระหว่างประเทศที่เบาลง ทำให้ฝ่ายวิจัยเห็นว่าภาพการเคลื่อนย้ายของ Fund Flow เข้ามาสู่สินทรัพย์เสี่ยงในรอบนี้น่าจะเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาสั้นๆ การกำหนดกลยุทธ์จึงมีลักษณะเป็นการ Trading ฝ่ายวิจัยแนะนำให้ปรับพอร์ตโดย ลดน้ำหนักหุ้น BTSGIF ลง 10% เพื่อนำเงินเข้าลงทุนในหุ้น BBL โดยฝ่ายวิจัยประเมินว่าราคาหุ้นช่วงที่ผ่านมาได้ดูดซับปัจจัยลบต่างๆ ไปมากแล้ว รวมถึงการที่ ธปท.ของให้งดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล หุ้น Top Pick เลือก BBL และ SPVI

PMI สหรัฐฯ-จีน ส่งสัญญาณบวก หนุนเงินเข้าสินทรัพย์เสี่ยง แต่ยังต้องติดตามต่อ

ตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงวันจันทร์ ปรับเพิ่มขึ้นแรง (SET Index ปิดทำการ) หลักนำโดยฝั่งเอเซีย คือ ตลาดหุ้นจีน +5.7% เช่นเดียวกับประเทศฝั่งสหรัฐ Dow jones, Nasdaq และยุโรป DAX, FTSE ปรับเพิ่มขึ้นในช่วง 1-2% โดยปัจจัยหนุนตลาดหุ้นโลกหลักๆ คือ ตอบรับรายงานตัวเลขเศรษฐกิจฝั่งภาคผลิตและบริการ เดือน มิ.ย. ของสหรัฐ และจีนที่ออกมาดีกว่าคาด และเพิ่มขึ้นจากเดือน พ.ค. สะท้อนจาก ในสหรัฐ เมื่อวานนี้รายงาน ISM Non manufacturing หรือ PMI ภาคบริการ เดือน มิ.ย.ปรับเพิ่มขึ้น 25.7%mom อยู่ที่ 57.1 จุดและยืนเหนือ 50 จุดครั้งแรกและบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจภาคบริการสหรัฐ คิดราว 85% ของ GDP กลับมาฟื้นตัวได้ดี VS. ในไทย GDP ภาคบริการคิดราว 61%) เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐเดินหน้า Reopen ธุรกิจ ไม่ได้ Lockdown ประเทศ สวนทางกับรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อ Covid-19 รายใหม่เพิ่มขึ้น 4.3 หมื่นราย และผู้ติดเชื้อสะสมถือว่ามากที่สุดในโลก อยู่ที่ 3 ล้านราย เช่นเดียวกับฝั่งจีน PMI ภาคการผลิตและบริการ เดือน มิ.ย.ที่รายงานเมื่อวันศุกร์ ออกมายืนเหนือ 50 จุด อยู่ที่ 50.5 จุด และ 53.2 จุดตามลำดับ รวมถึงสถานการณ์ผู้ติดเชื้อ Covid-19 รายใหม่ของจีน ออกมาลดลงต่ำกว่า 10 ราย ติดต่อกันตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค. หลังจาก 2nd wave ที่เกิดขึ้นใน 2 สัปดาห์ก่อนหน้าเฉลี่ย 30 ราย/วัน

โดยรวม Sentiment บวกดังกล่าว   เชื่อว่าหนุนเงินเข้าสินทรัพย์เสี่ยงต่อในระยะสั้น และจะส่งผลต่อ SET Index ในวันนี้ปรับเพิ่มขึ้น แต่ยังต้องติดตามต่อ โดย ASPS มองไปตลอดเดือน ก.ค. ยังเห็นปัจจัยลบที่อาจจะเป็นอุปสรรคต่อการลงทุน อาทิ 1.) Trade war สหรัฐจีนที่ยังมีอยู่     2.)ผู้ติดเชื้อ COVID-19 รายใหม่ทั่วโลกยังเพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง โดยยังสูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 7 วัน  3.)ภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปหลัง Covid-19     4.) กำไรของบริษัทจดทะเบียนในปี 2563 มีความเสี่ยงจะถูกปรับประมาณการลง (EPS63F เท่ากับ 64 บาท/หุ้น) และกลุ่ม ธนาคารพาณิชย์เตรียมจะทยอยรายงบการเงินงวด 2Q63

คาดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน กลับขึ้นมาขับเคลื่อนหุ้นรับเหมา..

แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2563 ทุกสำนักเศรษฐกิจเห็นตรงกัน GDP จะหดตัวในช่วง 8-10% หลังฟันเฟืองขับเคลื่อนเศรษฐกิจเกือบทุกตัวยังหดตัวสูง อาทิ การส่งออก, การท่องเที่ยว, การลงทุนเอกชน และการบริโภคครัวเรือน ส่งผลให้ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและ Theme การลงทุนหุ้นในช่วงที่เหลือของปี 2563 จะมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นหลักทั้งมาตรการทางการคลัง และการเงิน ดังนี้

  • •   มาตรการทางการคลัง: ตลอดสัปดาห์นี้จะมีการพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ

o   8 ก.ค. 2563 การประชุม ครม. จะมีการพิจารณามาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจชุดแรก วงเงิน 8 หมื่นล้านบาท จำนวน 212 โครงการ (เป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณฟื้นฟูเศรษฐกิจ วงเงินรวม 4 แสนล้านบาท ของ พ.ร.ก. กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท) ส่วนใหญ่เน้นไปที่การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เช่น โครงการพัฒนาพื้นที่ โคก หนอง นา โมเดลวงเงิน 4.95 พันล้านบาท, โครงการใช้ Big Data แก้ไขความเหลื่อมล้ำ วงเงิน 2.7 พันล้านบาท เป็นต้น

o   10 ก.ค. 2563 ให้น้ำหนักการขายซองประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก วงเงิน 9.6 หมื่นล้านบาท และคาดจะเปิดให้เอกชนยื่นข้อเสนอในเดือน ก.ย. 2563 ก่อนที่จะลงนามเซ็นสัญญาได้ในเดือน ธ.ค. 2563 โดยหากโครงการเดินหน้าได้ตามแผน จะนับเป็นงานประมูลโครงสร้างพื้นฐานสำคัญชิ้นแรกที่สามารถเดินหน้าได้ในปีนี้ และเชื่อว่าภาครัฐจะเร่งผลักดันโครงการอื่นต่อไป เช่น รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้เตาปูน-ราษบูรณะ, โครงการลงทุนใน EEC และโครงการลงทุนในส่วนโทรคมนาคม

และในวันเดียวกันประชุม ครม.เศรษฐกิจ ภายหลังนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเผยเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว สั่งการให้กระทรวงการคลังเร่งหามาตรการกระตุ้นการบริโภค และการท่องเที่ยวเพิ่มจากปัจจุบัน โดยล่าสุดเริ่มเห็นกระแสมาตรการรอบใหม่ เช่น ช็อปช่วยชาติ ซึ่งล่าสุด กระทรวงการคลังระบุว่ากำลังอยู่ระหว่างศึกษารูปแบบของมาตการ

จากกระแสของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆที่ยังร้อนแรงข้างต้น กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ จึงแนะนำ Trading หรือเก็งกำไรหุ้นที่อยู่ในกระแส หรือได้ประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว เช่น หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการกระตุ้นการบริโภค และกระแสช้อปช่วยชาติ เช่น CPALL และ SPVI, หุ้นที่ได้ประโยชน์จากความคืบหน้าการลงทุนภาครัฐ เช่น SEAFCO และ INSET

SSFX หมดแล้ว เม็ดเงินต่างชาติเป็นความหวังผลักดันต่อ

สถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิหุ้นไทยกว่า 5.9 หมื่นล้านบาท (ตั้งแต่เม.ย.-ปัจจุบัน) ซึ่งมาจากกองทุน SSFX ที่มีมูลค่ากว่า 8.8 พันล้านบาท ที่เข้ามาเร่งตัวขึ้นในช่วง 1 สัปดาห์สุดท้ายก่อนหมดเขตกว่า 5.04 พันล้านบาท ซึ่งสามารถพยุง SET Index ให้ปรับตัวขึ้นกว่า 22% (ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา) ในส่วนของ Fund Flow ต่างชาติ หลังจากที่ขายสุทธิทุกประเทศตั้งแต่ต้นปี เริ่มเห็นการสลับซื้อสลับขายเป็นรายประเทศตั้งแต่ต้นเดือน มิ.ย. เริ่มจาก

  • •   ตลาดหุ้นที่มียอดซื้อสุทธิ mtd ตลาดหุ้นไต้หวันถูกซื้อสุทธิกว่า 1.3 พันล้านเหรียญ ตามมาด้วย ฟิลิปปินส์ 128 ล้านเหรียญ
  • •   ตลาดหุ้นที่มียอดขายสุทธิ mtd ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ถูกขายสุทธิกว่า 267 ล้านเหรียญ ตามมาด้วยอินโดนีเซีย 71 ล้านเหรียญ และไทยที่ยังคงขายสุทธิกว่า 81 ล้านเหรียญ หรือ 2.5 พันล้านบาท เป็นต้น

ดังนั้น กองทุน SSFX หมดเขตซื้อลดหย่อนภาษีแล้วในปัจจุบัน จึงทำให้ยากที่จะเห็นเม็ดเงินในประเทศ พยุง SET Index ได้เช่นในอดีต ดังนั้น ปัจจัยหลักในการพยุง SET Index ได้ต่อจากนี้ คงต้องหวังเพิ่ง Fund flow ต่างชาติเป็นหลัก หากเม็ดเงินทยอยเข้ามาจริง นั้นถึงเป็นตัวขับเคลื่อน SET Index ให้เดินหน้าต่อได้อย่างมีนัยฯ

กระแสเงินโลกไหล เข้าหุ้นกลุ่ม ธ.พ. อย่างเด่นชัด ชอบ BBL

ความคืบหน้าของวัคซีนจาก ทั้งจีนและสหรัฐ เป็นความหวังและช่วยหนุนกระแสเงินทุนผลักดันตลาดหุ้นโลกปรับตัวขึ้นได้ร้อนแรงนับตั้งแต่ต้นสัปดาห์เป็นต้นมา โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม ธ.พ. วานนี้กลับมาฟื้นตัวและ Outperform สุดในดัชนีหลักๆ ของโลก อาทิ

  • •   หุ้น Goldman Sachs ปรับตัวขึ้น 5.05% สูงสุดในดัชนี Dow Jones เพิ่มขึ้น 1.78%,
  • •   หุ้น Deutsche Bank AG ปรับตัวขึ้น 3.9% สูงสุดในดัชนี DAX เพิ่มขึ้น 1.64%
  • •   หุ้น ธ.พ. ใหญ่สุดในจีน ICBC เพิ่มขึ้น 5.7% สูงกว่าดัชนี Hang Seng เพิ่มขึ้น 3.8%

ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า กระเงินทุนมีโอกาสไหลทะลักเข้าหุ้นกลุ่ม ธ.พ. ทั่วโลก รวมถึงไทยต่อเนื่อง เนื่องจากเริ่มเห็นภาพการป้องกันไวรัส COVID-19 ที่ชัดเจนขึ้น ส่งผลให้แนวโน้มเศรษฐกิจมีโอกาสดีขึ้นตามลำดับ ขณะที่ราคาหุ้นในกลุ่มยัง Laggard กว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ มานาน อาทิ หุ้นกลุ่ม ธ.พ. ของไทยเป็นกลุ่มที่ปรับตัวลดลง -34.4% (ลดลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นๆ) ขณะที่ SET Index ลดลงเพียง -13.1% เท่านั้น

สรุปคือ หุ้นกลุ่ม ธ.พ. ไทย มีโอกาส Outperform ตลาดหุ้นต่อจากนี้ หลังจากที่ Laggard มานาน รวมถึงยังได้แรงหนุนช่วงสั้น จากมาตรการทางภาครัฐที่ออกมาต่อเนื่อง ทั้งความคืบหน้าโครงการภาครัฐ และมาตรการกระตุ้นการบริโภค อาทิ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน และมีโอกาสสูงที่มาตรการ ช็อปช่วยชาติจะคลอดตามมาติดๆ

โดยหุ้นกลุ่ม ธ.พ. ที่ฝ่ายวิจัยชื่นชอบมากที่สุด คือ BBL (FV@154) ด้วยความโดดเด่นจาก 3 ด้าน คือ

  • •   มีโครงสร้างสินเชื่อรายใหญ่ราว 41% และมีลูกค้ารายย่อยราว 15% จึงคาดมีลูกหนี้เข้าร่วม loan payment holiday ต่ำกว่าอุตสาหกรรมฯ
  • •   แนวโน้มกำไรสุทธิ 2Q63 หลังรวมงบกับ Permata อยู่ที่ 7,675 ล้านบาท ทรงตัว 0.1% QoQ (-18% yoy) เพราะมีแรงหนุนจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย ทั้งจากกำไร จากเครื่องมือทางการเงินที่วัดด้วยมูลค่ายุติธรรมและเป็นช่วงรับรู้เงินปันผลจากเงินลงทุน ส่งผลให้ภาพรวมกำไรถือว่า Outperform กำไรกลุ่มฯ ที่คาดลดลง 15% QoQ (-25% yoy) อยู่ที่ 3.8 หมื่นล้านบาท
  • •   ราคาหุ้น BBL ซื้อขายที่ PBV ราว 0.46 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ ที่ซื้อขายราว 0.57 เท่า

RESEARCH DIVISION

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม

นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค

เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132

ภราดร เตียรณปราโมทย์

นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์

เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365

ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์

นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์

เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636

วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร

นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์

เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 110506

ภวัต ภัทราพงศ์

ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ

******************************************

 

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!