หมวดหมู่: บทวิเคราะห์
Asia Plus Group Holding
บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
แม้จะมีแรงกดดันจาก Sentiment ในเรื่องการเจรจาการค้า สหรัฐฯ-จีน รวมถึงความรุนแรงในการประท้วงในฮ่องกง แต่ยังคงเห็นทิศทางการเคลื่อนไหวของ Fund Flow ที่ไหลออกจากสินทรัพย์ปลอดภัยเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้น สภาพแวดล้อมดังกล่าวทำให้เชื่อว่าการปรับลดลงของ SET Index วานนี้น่าจะเป็นการปรับฐานระยะสั้น วันนี้ไม่มีการปรับพอร์ต Top Picks เลือก CPALL (FV@B 88), EA (FV@B 56) และ STPI (FV@B 8.30)
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย …จับสัญญาณวันนี้
วานนี้ ตลาดหุ้นไทยเปิด Gap ลงกว่า 5 จุด ก่อนที่จะปรับตัวลงตลอดวัน จากที่ยังขาดปัจจัยบวกเพิ่มเติมรวมถึงประเด็นสงครามการค้าที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงและประเด็นลบเฉพาะตัวอย่าง AWC ที่หมดกรีนชูส่งผลให้ราคาปรับตัวลงแรงกว่า 10% จนทำให้ปิดระดับ 1622.12 จุด ลดลง 15.73 จุด (-0.96%) ซึ่งมีมูลค่าการซื้อขาย 4.75 หมื่นล้านบาท โดยกลุ่มที่กดดันตลาดหลักๆ คือ กลุ่มอสังหาฯได้แก่ AWC(-10.74%) CPN (-2.64%) WHA(-1.28%) AMATA(-2.40%) กลุ่มธ.พ.เช่น BBL(-1.40%) KBANK(-2.95%) SCB(-2.53%) และกลุ่มพลังงานเช่น PTT(-0.55%) PTTEP(-1.20%) BGRIM(-0.48%) รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่บางตัวอย่างเช่น TRUE(-3.85%) และ ADVANC(-0.87%) เป็นต้น
การปรับตัวขึ้นไปของ SET Index จากบริเวณ 1580 จุด ไปสู่จุดสูงสุดในรอบนี้ที่บริเวณ 1642 จุด เป็นการตอบสนองต่อความคาดหวังเชิงบวกในเรื่องของการเจรจาการค้า สหรัฐฯ-จีน ซึ่งฝ่ายวิจัยประเมินว่าเป็นการตอบรับที่เร็วและค่อนข้างแรงเกินจริง ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุที่ทำให้ความคาดหวังเชิงบวกถูกบั่นทอน ประกอบกับมีความกังวลเรื่องการประท้วงใน ฮ่องกง เข้ามากดดันเพิ่มเติมจึงทำให้เห็นการปรับฐานอย่างรุนของของ SET Index วานนี้ อย่างไรก็ตาม แต่หากมองในอีกมุมหนึ่งก็ยังพบว่า การเคลื่อนย้ายเม็ดเงินลงทุน จากสินทรัพย์ปลอดภัย ไปสู่ สินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้น ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง เห็นได้จาก ราคาทองคำที่ยังปรับตัวลดลง รวมถึง Bond Yield ที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง (Bond Yield 10 ปี สหรัฐฯ และไทย อยู่ที่ 1.92% และ 1.71% ตามลำดับ สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามในช่วงนี้ได้แก่ การประกาศผลประกอบการ 3Q62 ซึ่งล่าสุดประกาศออกมาแล้ว 47% (เทียบตามสัดส่วน Market Cap) พบว่ามีกำไรสุทธิ 1.26 แสนล้านบาท ลดลง 4.6% QoQ และ 22.5% YoY ซึ่งทำให้เกิด Downside ต่อประมาณการกำไรสุทธิของปี 2562 ที่อาจต้องถูกปรับลดลงหลังการประกาศผลประกอบการครบ ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงสำหรับตลาดหุ้น ภายใต้สภาพแวดล้อมทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น ฝ่ายวิจัยประเมินว่า SET Index  ในช่วงนี้ยังน่าจะมีโอกาสที่ถูกขับเคลื่อนด้วย Fund Flow จากนักลงทุนภายในประเทศได้อยู่ แต่ Upside น่าจะจำกัด โดย 1640 จุด จะทำหน้าที่เป็นแนวต้านสำคัญ ส่วน Downside ก็ไม่ควรต่ำกว่า 1600 จุด กลยุทธ์การลงทุนในเช้าวันนี้ ฝ่ายวิจัยไม่ได้มีการปรับพอร์ตกการลงทุน ส่วนหุ้น Top Picks ยังคงเป็น 3 บริษัทเดิมได้แก่ CPALL, EA และ STPI ซึ่งเป็นหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพะตัว
ตลาดหุ้นโลกรอแถลงประธาธิบดีทรัมป์  ประท้วงฮ่องกงกระทบไทยจำกัด
ตลาดหุ้นโลกกลับมาผันผวนอีกครั้ง หลักๆ ถูกกดดันจากปัจจัยต่างประเทศ สำคัญ คือ
    สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่ยังคลุมเครือ หลังประธานาธิบดีทรัมป์เผยว่า ตนยังไม่ได้ตอบตกลงว่าสหรัฐจะยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน  หลังจากก่อนหน้าตลาดคาดหวังเชิงบวกว่าทั้ง 2 ฝั่งจะยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าทั้ง 4 รอบต่อกันในการประชุม NATO ที่กรุง London วันที่ 3 ธ.ค. 2562   โดยให้น้ำหนัก วันนี้ประธานาธิบดีทรัมป์จะมีการกล่าวสุทรพนจ์ของที่สมาคมเศรษฐศาสตร์ New York  ให้น้ำหนักว่าจะมีให้รายละเอียดของการเจรจาการค้าสหรัฐกับจีนเพิ่มเติมอย่างไร    ASPS ยังคงมุมมองเดิม คือ Trade war จะยังยืดเยื้อไปจนถึงปลายปี  2563
    การชุมนุมประท้วงในฮ่องกงยาวนานติดต่อกัน ราว  5 เดือน หรือนับตั้งแต่ มิ.ย. 2562-ปัจจุบัน และสถาการณ์ยังมีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุด คือ  ตำรวจฮ่องกง ยิงแก็สน้ำตา และยิงกระสุนจริง ทำให้ผู้ได้รับบาดเจ็บ  และผู้ชุมนุมยังคงปิดกั้นแหล่งสาธารณะบางส่วน
ASPS เห็นว่าความเสี่ยงในประเด็นฮ่องกงจะเกิดขึ้น  ก็ต่อเมื่อเกิด กรณี รัฐบาลจีนเข้ามาแทรกแซงการเมืองในฮ่องกง  ซึ่งอาจนำไปสู่การสร้างแรงกดดันในการ Sanction จีนจากสหรัฐเพิ่ม และมีผลต่อการเจรจาการค้าในอนาคต แต่ ณ จุดปัจจุบันพัฒนาการของเหตุการณ์ยังไม่ไปถึงจุดดังกล่าว จึงยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
ในส่วนของผลกระทบต่อตลาดการเงิน ณ ปัจจุบัน ยังคงเห็นกระบวนการในการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินลงทุน จากสินทรัพย์ปลอดภัยไปสู่สินทรัพย์เสี่ยงต่อเนื่อง แต่การประท้วงฮ่องในมุมมองของ ASPS คาด กดดันให้ Fund Flow ชะลอการไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงในภูมิภาค   เนื่องจากหากพิจารณา ฮ่องกงถือเป็น Financial Hub ขนาดใหญ่ในเอเชีย เห็นได้จากขนาดตลาดหุ้นมีใหญ่ราว  2.21 ล้านล้านเหรียญฯ มีมูลค่ามากสุดเป็นอันดับ 5 ของโลก (ใหญ่กว่าตลาดหุ้นไทยถึง 4 เท่า) รองจาก อังกฤษ , ญี่ปุ่น จีน และสหรัฐ (ดังรูป)  และตลาดหุ้นฮ่องกงมีสัดส่วนหุ้นในกลุ่มการเงินสูงถึง 49.18% อาทิ ธนาคาร HSBC 9.8%, CCB 7.6% และ ICBC 4.7% เป็นต้น
10 อันดับ Market Cap ตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก
 
ที่มา: Bloomberg, ฝ่ายวิจัย ASPS
หากพิจารณาขนาดเศรษฐกิจฮ่องกงในโลก(GDP)ปี 2561 คิดอันดับ 32 ของโลกมีมูลค่า  3.81 แสนล้านเหรียญฯ เล็กกว่าไทย อันดับ 25 มีมูลค่าเศรษฐกิจ  5.16 แสนล้านเหรียญฯ   
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย คาดกระทบการค้าแต่จำกัด  เนื่องจากฮ่องกงเป็นคู่ค้า(X+M) อันดับ 10 ของไทยคิดราว   3%ของประเทศคู่ค้าทั้งหมดทั่วโลก   หากพิจารณาการส่งออก(X)  คือ ไทยส่งออกไปฮ่องกง พบว่า ในปี 2561 เป็นตลาดส่งออกอันดับ 5 ราว 1.25 หมื่นล้านเหรียญฯ   โดยสินค้าส่งออกหลักที่ไทยส่งออกไปฮ่องกง คือ คอมพิวเตอร์ราว 29%   รองลงมาคือ อัญมณี 17.4%, แผงวงจรไฟฟ้า 15.3%, ผลไม้สด แช่เย็น 1.9% เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ 1.9%  และไทยนำเข้าสินค้าจากฮ่องกง มากที่สุดคือ เครื่องเพชรพลอย ทองคำราว 77%ของการนำเข้าจากฮ่องกงทั้งหมด,เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน 3.4% เครื่องจักรไฟฟ้า 2.4% เป็นต้น
โดยรวมทั้ง 2 ประเด็นหลักที่แม้จะสร้างความกังวลต่อตลาดหุ้น แต่เป็นที่สังเกตุว่าเม็ดเงินยังคงไหลออกจากสินทรัพย์ปลอดภัย  เห็นได้จาก Bond yield 10 ปี ของสหรัฐ ยังอยู่ในทิศทางขึ้น ล่าสุด 1.924% เทียบกับ จุดต่ำสุดในเดือน ต.ค.ที่ 1.52%  สอดคล้องกับ Bond yield 10 ปี ไทย อยู่ที่ 1.7%เทียบกับ จุดต่ำสุดเดือน ต.ค. ที่ 1.49%  และทองคำยังคงปรับลงติดต่อกันตั้งแต่ ต้นเดือน พ.ย. ราว 3.8%
วันนี้ ครม. พิจารณา ชิม ช้อป ใช้ เฟส 3
ในประเทศวันนี้ให้น้ำหนักการประชุม ครม. ซึ่งคาดว่าจะมีการพิจารณามาตรการชิม ช้อป ใช้ เฟสที่ 3 โดยจะมีการเปิดลงทะเบียเพิ่มอีก 2 ล้านราย รวมเป็น 15 ล้านราย และคาดจะขยายช่วงเวลาใช้สิทธิ จากเดิมถึงสิ้นเดือน ธ.ค. 2562 ออกไปเป็น ม.ค. 2563 รวมถึงขยายให้ใช้จ่ายได้ทั่วประเทศ จากเดิมที่กำหนดห้ามใช้จ่ายในจังหวัดของตนเอง อย่างไรก็ตาม ชิม ช้อป ใช้ เฟส 3 จะให้สิทธิเฉพาะการคืนเงิน (Cash Back) ผ่านกระเป๋า 2 เท่านั้น (ไม่ได้ให้เงิน 1,000 บาท ในกระเป๋า 1) โดยค่าใช้จ่าย 3 หมื่นบาทแรก รับคืน 15% แต่สูงสุดไม่เกิน 4,500 บาท และค่าใช้จ่ายที่เกิน 3 หมื่น แต่ไม่เกิน 5 หมื่น รับคืน 20% แต่สูงสุดไม่เกิน 4,000 บาท
ASPS คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน และช่วยประคองเศรษฐกิจไทยในช่วงปลายปีได้ และยังเป็น Sentiment บวกต่อหุ้นในกลุ่มค้าปลีก โดย Toppicks กลุ่มคือCPALL(FV’63@B100) รองลงมาคือ BJC(FV@B61)
มาตรการกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐ
 
ที่มา : ASPS รวบรวม
บจ.ทยอยประกาศงบฯ ... เน้นลงทุนหุ้นเติบโตดีต่อเนื่อง
ฝ่ายวิจัย ASPS รวบรวมข้อมูลการรายงานผลประกอบการงวด 3Q62 นับถึงวานนี้ มีบริษัทจดทะเบียนประกาศงบแล้ว 213 บริษัท คิดเป็น 47% ของ Market Cap. ทั้งตลาด ทำกำไรสุทธิรวมกันได้ 1.26 แสนล้านบาท หากเทียบผลการดำเนินงานรวมกันเฉพาะ บจ. ที่ประกาศงบฯ แล้ว ปรากฏว่าไตรมาสนี้กำไรสุทธิลดลง 4.6%qoq และ 22.5%yoy
หากพิจารณาเฉพาะธุรกิจภาคการผลิต (Real Sector) พบว่ากำไรสุทธิอ่อนตัวลงเช่นกัน มาอยู่ที่ 6.07 หมื่นล้านบาท ลดลง 4.4%QoQ และ 34.5%YoY  กดดันหลักจากกลุ่มพลังงาน-ปิโตรฯ    (สัดส่วนกำไรราว  35.24% ของตลาด) อาทิ PTTEP, BANPU, GLOW, IVL และ PTTGC ตามด้วยแรงกดดันจากกลุ่มวัสดุก่อสร้าง SCC  รวมถึงกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ PSH, LPN, ORI และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการส่งออก อย่างชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ DELTA, SVI เป็นต้น
เปรียบเทียบสัดส่วนกำไรสุทธิ 2562F ราย Sector ใน SET Index
 
ตัวเลขประมาณการกำไรสุทธิรวมปี 2562 ที่นำเสนอ ที่ 9.99 แสนล้านบาท โดยในครึ่งปีแรกทำกำไรสุทธิไปแล้ว 4.82 แสนล้านบาท และหากจะให้กำไรตลาดวิ่งไปถึงที่คาดการณ์ ในช่วง 2H62 บริษัทจดทะเบียนจะต้องมีกำไรทั้งสิ้น 5.17 แสนล้านบาท หรือเฉลี่ย (3Q62 และ 4Q62) ไตรมาสละ 2.59 แสนล้านบาท จึงเป็นเป้าหมายที่ท้าทายและมีความเสี่ยงต่อการที่จะถูกปรับลดลง ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยฯ จะทำการรวบรวม และหลังจากประชุมนักวิเคราะห์สิ้นเสร็จจะนำเสนออีกครั้ง
กลยุทธ์ลงทุนแนะนำเกาะกระแส earning play โดยหุ้นที่มีผลประกอบการโดดเด่น และมีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่อง  อย่างเช่น CPALL (FV’63@B 100)  STPI (FV@B 8.30)  EA (FV’63@B 56.00)
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม,
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน, ปัจจัยทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
เจิดจรัส แก้วเกื้อ
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 110506
ภวัต ภัทราพงศ์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!