หมวดหมู่: บทวิเคราะห์
DBS
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 
 
ดาวโจนส์บวกแรง เพื่อนบ้านรีบาวด์แกร่ง
 
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
  ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้– SET Index ปิดตลาดปรับตัวขึ้นได้ +1.71 จุด ปิดที่ 1697.87 จุด เทียบกับยอดสูงสุดของวันที่ 1701.57 จุด และถือว่าปรับขึ้นสอดคล้องกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้านที่รีบาวด์กันเป็นส่วนใหญ่ แต่มูลค่าการซื้อขายเบาบางอีกเป็น 38.5 พันล้านบาท ปัจจัยบวกคือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปีปรับตัวลดลง หลังตัวเลขค้าปลีกสหรัฐ ก.ย.ออกมาต่ำกว่าคาด และสหรัฐขาดดุลการค้าสูง เงินบาทกลับมาแข็งค่า ลดความกังวลเงินไหลออก และเก็งกำไรงบ 3Q61 แม้ปัจจัยต่างประเทศยังรุมเร้า โดยเฉพาะประเด็นใหม่ความขัดแย้งสหรัฐ-ซาอุ ด้านผู้ขายสุทธิรายเดียวเป็น ต่างประเทศ 2.8 พันล้านบาท ส่วนผู้ซื้อสุทธิคือ สถาบัน 2.4 พันล้านบาท พอร์ตโบรกเกอร์ 0.3 พันล้านบาท และนักลงทุนทั่วไป 0.1 พันล้านบาท จุดที่น่าสังเกตคือ สถาบันซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่อง อาจจะมีเงิน LTF ทยอยเข้ามาลงทุนก่อนสิ้นปี
  แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้น SET มีความสดใสจากต่างประเทศคือ ดาวโจนส์บวกแรง หลังตัวเลขเศรษฐกิจออกมาแกร่ง น้ำมันปรับขึ้น ดัชนีความกลัว (VIX) ปรับลดลง บาทแข็งค่า การที่ OSP เข้าซื้อขายวันนี้ และ BGC วันที่ 18 ต.ค.จะช่วยให้ตลาดฯคึกคักมากขึ้น ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้รีบาว์มาก บางตลาดมากกว่า 1% แต่ยังมีปัจจัยลบคือ สถานการณ์สหรัฐ-ซาอุตึงเครียดขึ้น ดอลลาร์แข็งค่า ติดตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี บ่งชี้เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย ด้านปัจจัยลบเดิมๆคือ กังวลสงครามการค้าสหรัฐ-จีนทวีขึ้น และ IMF ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลก สหรัฐ และจีน สำหรับดาวโจนส์ล่วงหน้า -23 จุด ณ 7.57 น. น้ำมันล่วงหน้าปรับขึ้น ส่วนมาตรการคุมเข้มสินเชื่อที่อยู่อาศัยอยู่ในช่วง Hearing ติดตาม ธปท.จะผ่อนคลายบ้างไหม ข้อดีคือแม้ปัญหา Emerging Market (EM) ยังไม่จบ แต่เศรษฐกิจของไทยเหนือกว่า EM อื่นคือ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง บัญชีเดินสะพัดเกินดุล เศรษฐกิจ ต.ค.แนวโน้มแข็งแกร่ง ด้านการเลือกตั้งตามโรดแมป มีกิจกรรมคึกคักขึ้น สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่เป็นภาพใหญ่คือ ECB ทยอยลด QE และหยุดตอนสิ้นปี มีเงินไหลมาลงทุน EM น้อยลง ปัจจัยที่ยังต้องติดตามคือ สหรัฐคว่ำบาตร อิหร่าน ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 1 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป แต่กังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า แต่ก็มีข้อดีจะมีการย้ายฐานการผลิตมาไทยจีนมาไทย กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดีเมื่อราคาหุ้นปรับลงตามดัชนีฯ และเลือกหุ้นที่มีประเด็นที่น่าสนใจ หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1670-1720 จุด แต่ SET ตามพื้นฐานระยะยาว 1 ปี ให้ไว้ที่ 1860 จุด ที่ P/E 17 เท่า ซึ่งเป็น Median+1 SD และ EPS ปี 61 เติบโตเฉลี่ย 10% ดัชนีฯปรับลง แนะนำให้ทยอยสะสมเพื่อการลงทุนระยะยาวได้
  Update หุ้นเด่น: CPF – แนะนำ ซื้อ มีสัญญาณการฟื้นตัวและแนวโน้มกำไรที่สดใสขึ้นในงวดครึ่งหลังปีนี้ และปี 62 ปัจจัยสำคัญคือ ราคาเนื้อหมูในประเทศที่ปรับตัวขึ้นดี ผลพวงจากอุปสงค์และอุปทานมีความสมดุลมากขึ้น ส่วนราคาไก่ก็ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน หลังจากบราซิลมีการลดอุปทานและเริ่มต้นส่งออกไก่ไปตลาดใหม่คือ จีน ด้านราคาเนื้อหมูที่เวียดนามก็ฟื้นตัวดีอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มว่าจะเป็นไปอย่างยั่งยืน ราคาพื้นฐานที่ 30.00 บาท ด้วย P/E ปี 62 ที่ 20.5 เท่า ส่วนความเสี่ยงคือ โรคระบาด และการกีดกันทางการค้า
  การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นบวกเล็กๆ แต่ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลงตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้าน 1700-1710/1720 แนวรับ 1670-1660 แนวตัดขาดทุนต่ำกว่า 1690
  สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ BBL,KTC,AMATA,GULF,AOT,BCH หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ STA,PTTEP หุ้นที่หลุด List JKN หุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ KTB,MTC,GFPT,BH
 
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับขึ้นแรง ข้อมูลเศรษฐกิจและผลประกอบการแข็งแกร่ง
  # ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,798.42 จุด พุ่งขึ้น 547.87 จุด หรือ +2.17% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,809.92 จุด เพิ่มขึ้น 59.13 จุด หรือ +2.15% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,645.49 จุด พุ่งขึ้น 214.75 จุด หรือ +2.89%
  # ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทะยานขึ้นกว่า 500 จุดเมื่อคืนนี้ (16 ต.ค.) ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ ซึ่งรวมถึงโกลด์แมน แซคส์ และมอร์แกน สแตนลีย์ นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของสหรัฐ
+ ตลาดน้ำมัน : น้ำมัน WTI ปรับขึ้น การเมืองอาจทำให้อุปทานลด
  # สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 14 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 71.92 ดอลลาร์/บาร์เรล
  # สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 63 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 81.41 ดอลลาร์/บาร์เรล
  # สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เมื่อคืนนี้ (16 ต.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า มาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน รวมทั้งสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐและซาอุดีอาระเบียในกรณีการหายตัวไปอย่างลึกลับของนักข่าวชาวซาอุฯนั้น จะส่งผลกระทบต่อภาวะอุปทานน้ำมันในตลาดโลก
• ทองคำ : เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ตลาดหุ้นดึงดูดใจกว่า
  # สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 70 เซนต์ หรือ 0.06% ปิดที่ 1,231.00 ดอลลาร์/ออนซ์
  # สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดขยับเพียงเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (16 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย และเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่นการลงทุนในตลาดหุ้น หลังจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นกว่า 500 จุด ขานรับผลประกอบการและตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง
+/- ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาแข็งแกร่ง โดยเฉพาะการผลิตภาคอุตสาหกรรม
  # สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านขยับขึ้น 1 จุด อยู่ที่ระดับ 68 ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายเดือน โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายงานว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 ในเดือนก.ย. โดยปรับตัวขึ้น 0.3% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนส.ค.
  # ทางด้านสำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) รายเดือน ซึ่งพบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน พุ่งขึ้นแตะระดับ 7.14 ล้านตำแหน่งในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนตัวเลขการจ้างงานแตะระดับ 5.78 ล้านตำแหน่ง ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน
- ดอลลาร์แข็งค่า สอดรับตัวเลขเศรษฐกิจแข็งแกร่ง
  # ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโร,เงินเยน และฟรังก์สวิส ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (16 ต.ค.) ขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 ในเดือนก.ย. ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าหลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) รายงานว่า ตัวเลขค่าจ้างของอังกฤษพุ่งสูงสุดในรอบเกือบ 10 ปี
• ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจที่จะทยอยประกาศออกมา
  # นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนก.ย., รายงานการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ประจำวันที่ 25-26 ก.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีการผลิตเดือนต.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย และยอดขายบ้านมือสองเดือนก.ย.
 
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นอุตสาหกรรม
+ คาดการณ์ GDP ปี 62 แม้ชะลอลงกว่าปี 61 แต่ถือว่ายังเติบโตสูง
  # ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 62 จะขยายตัวชะลอลงมาที่ 4.0% จากปีนี้คาดขยายตัวในอัตรา 4.5% แต่อย่างไรก็ตาม ยังถือว่าเป็นอัตราสูงสำหรับเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับช่วง 5 ปีก่อนหน้าที่เติบโตเฉลี่ยต่ำกว่า 3% ต่อปี ขณะที่คาดว่าการส่งออกของไทยมีแนวโน้มชะลอลงตามเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญจากผลกระทบของสงครามการค้าและภาวะทางการเงินโลกที่ตึงตัวขึ้น ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวไทยจะเผชิญกับข้อจำกัดจากความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวของสนามบินสำคัญต่างๆ ของไทย
-/+ ตัวเลขสถานการณ์การท่องเที่ยวไทย ก.ย.จีนลดถึง 15% แต่ 9M61 อยู่ในเกณฑ์น่าพอใจ
  # ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวถึงสถานการณ์ท่องเที่ยวในช่วง ก.ย.61 นักท่องเที่ยวจีนลดเกือบ 15% เป็น 6.48 แสนคน รายได้ลดลง 11% เป็น 3.68 หมื่นล้านบาท
  # ส่วน 9 เดือนแรกของปี 2561 (ม.ค.-ก.ย.) มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจำนวน 28,541,887 คน ขยายตัว 8.71% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และสร้างรายได้รวม 1,490,458.01 ล้านบาท ขยายตัว 10.95% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
  # ผลกระทบ: แม้ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีน มีการลดลงมาก ผลจากเรือล่ม ภูเก็ต อาจทำให้หลักทรัพย์เดินทาง ท่องเที่ยวโรงแรม ย่อลงต่อได้ แต่คาดว่าภาพการฟื้นตัวจะเริ่มเห็นตั้งแต่ 4Q61 (ต.ค.-ธ.ค.61) เป็นต้นไป เพราะย่างเข้าสู่ฤดูกาลที่ดีหรือ ไฮซีซั่น และการฟื้นตัวต้องใช้เวลายาวนานขึ้น แต่ในระยะกลางถึงยาว ไทยก็ยังจะเป็นปลายทาง (Destination) ที่นักท่องเที่ยงให้ความนิยมในระดับสูง หลักทรัพย์เดินทาง ท่องเที่ยว โรงแรม ที่แนะนำ ซื้อ คือ AOT, ERW และ MINT
+/• สมาคมธนาคารไทย เตรียมสรุปความเห็นมาตรการคุมสินเชื่อบ้านในแนวทางเดียวกัน
  # เบื้องต้นมีข้อเสนอหลักที่เป็นของสมาคมธนาคารไทยที่ทุกฝ่ายมีความเห็นสอดคล้องกันในการเพื่อนำส่งให้ ธปท.ก่อน วันที่ 22 ต.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นการสร้างมาตรฐานเดียวกันเกี่ยวกับสินเชื่อที่อยู่อาศัยของทุกธนาคาร และจะมีความสอดคล้องของข้อเสนอจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่เสนอกับ ธปท.ไปแล้วเมื่อวันที่ 11 ต.ค. ที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน
  # สมาคมธนาคารไทยมีความเข้าใจในความกังวลของ ธปท.เพราะ ธปท.มีข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์สินเชื่อที่อยู่อาศัยที่เกิดขึ้น แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของสินเชื่อทั้งหมดในระบบ แต่ที่ผ่านมายอมรับแต่ละธนาคารต่างมีการแข่งขันรุนแรง ทำให้ ธปท.เห็นบางจุดที่ต้องระมัดระวัง และเกรงว่าอาจจะมีผลกระทบต่อภาพรวมของประเทศ จึงมีมาตรการออกมาควบคุม ซึ่งการทำตามกฏ ธปท.ก็จะช่วยให้ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ให้มีความรุนแรง แม้ว่ามาตราการที่เข้มงวดจะส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจ แต่เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความสมดุลกันของระบบ และทำให้ภาคการเงินไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น
+/- ติดตามประกาศผลประกอบการ 3Q61 กลุ่มสถาบันการเงินประกาศสัปดาห์นี้
  # คาดการณ์กำไรสุทธิกลุ่มธนาคาร 3Q61 เป็น 43.1 พันล้านบาท (+5.9% y-o-y,-6.8% q-o-q)
  # สาเหตุที่เติบโตได้ y-o-y เพราะความต้องการสินเชื่อมาก และการตั้งสำรองปรับลดลง แต่ขณะเดียวกัน รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย ได้แก่ค่าธรรมเนียมกลับปรับลดลง รวมทั้งต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น
  # ในงวด 3Q61 คาดว่าหลักทรัพย์ที่มีกำไรสุทธิดีสุดคือ BBL ส่วนกำไรจากการดำเนินงานดีสุดคือ KKP
  # คงจัดลำดับให้ BBL และ KKP เป็น Top Pick ในหลักทรัพย์หมวดธนาคาร
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
OO15121

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!