หมวดหมู่: บริษัทจดทะเบียน

TRIS7 5


ทริสเรทติ้ง ลดอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ‘บ.ช.การช่าง’ เป็น ‘A-‘ จาก ‘A’

และจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน 5 พันล้านบาท และหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติมวงเงินไม่เกิน 2 พันล้านบาท ที่ “A-” แนวโน้ม ‘Stable’

        ทริสเรทติ้ง ลดอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท ช. การช่าง จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ ‘A-‘ จากเดิมที่ระดับ ‘A’ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 5 พันล้านบาทและหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติม (Greenshoe) ในวงเงินไม่เกิน 2 พันล้านบาทไถ่ถอนภายใน 10 ปีของบริษัทที่ระดับ ‘A-‘ เช่นเดียวกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระหนี้และเพื่อขยายธุรกิจ

        การลดอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่ยังคงอ่อนแอกว่าคาด รวมถึงมูลค่างานรับเหมาก่อสร้างในมือที่มีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับฐานรายได้ปกติของบริษัท และโครงสร้างทางการเงินที่อ่อนแอลง

        อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะของบริษัทในการเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างชั้นนำในประเทศไทยซึ่งมีความสามารถในการรับงานโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่และโครงการที่มีความซับซ้อน อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงประโยชน์ที่บริษัทได้รับจากการลงทุนเชิงกลยุทธ์อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ในการประเมินอันดับเครดิตดังกล่าวทริสเรทติ้งยังพิจารณารวมไปถึงการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและความเป็นไปได้ที่การประมูลโครงการก่อสร้างภาครัฐจะล่าช้าอีกด้วยเช่นกัน

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

ผลการดำเนินงานที่อ่อนแอกว่าคาด

        ในปี 2563 บริษัทยังคงมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าคาดจากการไม่มีงานโครงการขนาดใหญ่ใหม่ๆ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ความล่าช้าในการเปิดประมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐทำให้บริษัทประมูลได้งานใหม่ที่มีมูลค่าเพียง 2.2 หมื่นล้านบาทในช่วงปี 2561-2563 ส่งผลให้รายได้ของบริษัทในปี 2563 ลดลง 27% มาอยู่ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้บริษัทมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานประมาณ 300 ล้านบาทในปี 2563 ในขณะเดียวกัน เงินปันผลรับจากบริษัทร่วมก็ลดลงอย่างมากในปีเดียวกันอันเนื่องมาจากผลการดำเนินงานที่อ่อนแอของบริษัทร่วม

        โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลการดำเนินงานของ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) จากผลกระทบดังกล่าวทำให้บริษัทรายงานกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่ระดับ 2.1 พันล้านบาท ซึ่งลดลง 23% จากปีก่อน

ผลการดำเนินงานคาดว่าจะยังคงอ่อนแออย่างต่อเนื่อง

        ณ สิ้นปี 2563 มูลค่างานรับเหมาก่อสร้างในมือของบริษัทเหลือเพียง 2.9 หมื่นล้านบาทซึ่งคิดเป็นระดับฐานรายได้ของบริษัทเพียงปีเดียวจากในอดีตที่ผ่านมา ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่ารายได้ของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อไปโดยประมาณการว่าบริษัทจะยังคงมีรายได้และกำไรที่อ่อนแอในปี 2564 ซึ่งเป็นผลการดำเนินงานที่อ่อนแอกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ที่ต่อเนื่องติดต่อกันถึง 3 ปี อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะฟื้นตัวได้ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไปเมื่อโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐสามารถเปิดประมูลได้อย่างต่อเนื่อง

มีสถานะแข็งแกร่งในธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง

        ถึงแม้ว่า ผลการดำเนินงานจะอ่อนแอ แต่ทริสเรทติ้งก็มองว่าบริษัทยังคงมีความสามารถในการแข่งขันและสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างภายในประเทศเช่นเดิม ทั้งนี้ บริษัทมีความเชี่ยวชาญในงานก่อสร้างที่หลากหลายซึ่งครอบคลุมตั้งแต่งานก่อสร้างทั่วไป เช่น ถนน ทางด่วน อาคาร และสะพานไปจนถึงงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนสูง เช่น ระบบขนส่งมวลชนใต้ดินและโรงไฟฟ้าพลังน้ำ เป็นต้น

        ทั้งนี้ จากการมีประสบการณ์ในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่ยาวนานและฐานทุนขนาดใหญ่ บริษัทนั้นถือว่าเป็นผู้รับเหมาระดับแนวหน้าเพียงไม่กี่รายที่มีความสามารถในการประมูลงานและดำเนินการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐได้อีกด้วย

        บริษัทยังคงเน้นงานมูลค่าในระดับปานกลางไปจนถึงงานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐซึ่งบริษัทมีแผนจะเข้าร่วมประมูลโครงการภาครัฐจำนวนมาก เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ส่วนต่อขยายฝั่งตะวันตก) รถไฟฟ้าสายสีม่วง (ส่วนต่อขยายฝั่งใต้) โครงการรถไฟรางคู่ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) ซึ่งหากบริษัทชนะการประมูลดังกล่าว โครงการเหล่านี้จะเพิ่มมูลค่างานรับเหมาก่อสร้างในมือที่ประมาณ 3 แสนล้านบาทให้แก่บริษัท

คาดว่าผลการดำเนินงานจะปรับตัวดีขึ้น

        โอกาสที่ผลการดำเนินงานของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นนั้นอยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ของทริสเรทติ้ง ว่ารัฐบาลจะเร่งผลักดันโครงการโครงสร้างพื้นฐานออกมาเปิดประมูลเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศ ทริสเรทติ้งยังคงมีมุมมองในด้านบวกต่อธุรกิจรับเหมาก่อสร้างภายในประเทศในช่วงระยะปานกลางเมื่อพิจารณาถึงความพยายามของรัฐบาลในการเร่งพัฒนาโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตรงกันข้ามกับงานก่อสร้างในภาคเอกชนที่ยังคงซบเซา งานก่อสร้างในภาครัฐกลับมีแนวโน้มที่ดีกว่ามาก

        โดยทริสเรทติ้ง มองว่างบลงทุนในภาครัฐและการใช้จ่ายของรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ จะยังคงมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจที่เสียหายจากโรคระบาด ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะสามารถปรับตัวฟื้นคืนกลับมาได้ จากประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะได้รับงานรับเหมาก่อสร้างโครงการใหม่ๆ ที่มีมูลค่าโดยเฉลี่ยประมาณ 3 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้กำไรของบริษัทปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ในปี 2565 เป็นต้นไป

ประโยชน์ที่ได้รับจากการลงทุนเชิงกลยุทธ์

        บริษัทมีการลงทุนและเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัท ทีทีดับบลิว จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ซีเคพาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าบริษัทประสบความสำเร็จในการขยายสู่ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำในระดับหนึ่งซึ่งช่วยลดความผันผวนที่เกิดจากวงจรของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างลงได้

        โดยบริษัททั้ง 3 แห่งดังกล่าวคาดว่าจะจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอให้แก่บริษัทเนื่องจากบริษัทเหล่านี้มีการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นของประเทศ เช่น ระบบขนส่งมวลชน รวมไปถึงสาธารณูปโภคด้านไฟฟ้าและน้ำประปาซึ่งอยู่ภายใต้สัญญาสัมปทานหรือสัญญาซื้อขายระยะยาว ในการนี้ ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะได้รับเงินปันผลประมาณ 1-1.2 พันล้านบาทต่อปีจากเงินลงทุนในบริษัทเหล่านี้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า

        ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทเหล่านี้ยังได้ว่าจ้างให้บริษัทดำเนินโครงการก่อสร้างจำนวนมากที่เป็นส่วนของการขยายงานของแต่ละบริษัทอีกด้วย การลงทุนในเชิงกลยุทธ์ดังกล่าวยังช่วยให้บริษัทมีความยืดหยุ่นทางด้านการเงินจากการอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งบริษัทจะได้กำไรจากการจำหน่ายหลักทรัพย์ที่ลงทุนในบางโอกาสอีกด้วย โดย ณ สิ้นปี 2563 เงินลงทุนเหล่านี้มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 6.2 หมื่นล้านบาท

ความเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคในการฟื้นตัว

        ความล่าช้าในการเปิดประมูลโครงการขนาดใหญ่หลายๆ โครงการของภาครัฐส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้จะมีโอกาสในการฟื้นตัว แต่การประมูลที่มีความล่าช้าและการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงก็ยังคงเป็นปัจจัยความเสี่ยงหลัก ทริสเรทติ้งคาดว่าโครงการโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐหลักๆ ที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้จะอยู่ในกลุ่มคมนาคมและการพัฒนาโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor -- EEC) ซึ่งการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องดำเนินการเพื่อที่จะฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจที่เสียหายจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19

        ถึงแม้ว่า รัฐบาลจะมีนโยบายในการผลักดันโครงการโครงสร้างพื้นฐานหลายๆ โครงการ แต่ทริสเรทติ้งก็ยังพบว่ามีความล่าช้าในการเปิดประมูลและการลงนามในสัญญาของโครงการภาครัฐอยู่เสมอด้วยสาเหตุนานัปการไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงแผนแม่บทของโครงการ ข้อพิพาทเกี่ยวกับขั้นตอนการประมูลงาน ความล่าช้าในกระบวนการตัดสินใจของภาครัฐ หรือความล่าช้าในการเจรจาเกี่ยวกับเงื่อนไขของสัญญา เป็นต้น 

สถานะทางการเงินที่อ่อนแอ

        มูลค่างานรับเหมาก่อสร้างในมือที่มีจำนวนน้อยทำให้ทริสเรทติ้งประมาณการรายได้ของบริษัทว่า จะยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 1.8 หมื่นล้านบาทในปี 2564 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.4-3.7 หมื่นล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2565 และปี 2566 อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างโดยเฉลี่ยคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 8% ทั้งนี้ เมื่อดูจากเงินปันผลที่คาดว่าจะได้รับแล้ว ทริสเรทติ้งคาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะรักษาระดับอยู่ที่ประมาณ 2 พันล้านบาทในปี 2564 เทียบเท่ากับในปีก่อนหน้า และหลังจากนั้นจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.5-4 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2566 ในขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ 700 ล้านบาท ในปี 2564 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.1-2.4 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2566

        ณ สิ้นปี 2563 ภาระหนี้ทั้งหมดของบริษัทอยู่ที่ 4.3 หมื่นล้านบาทซึ่งส่วนใหญ่ใช้ไปในการลงทุนเชิงกลยุทธ์และให้การสนันสนุนเงินกู้ยืมระยะยาวในโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีใน สปป. ลาว อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ระดับ 57.7% ณ สิ้นปี 2563 เพิ่มขึ้นจาก 51.2% ในปี 2562 ทั้งนี้ ภายใต้ประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะทรงตัวอยู่ในระดับ 55%-60% ซึ่งสะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทไม่จำเป็นต้องให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่บริษัทในกลุ่มอีกต่อไป

        ทั้งนี้ อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทอยู่ที่ระดับ 17 เท่าในปี 2563 ซึ่งสูงกว่าประมาณการของทริสเรทติ้ง เป็นอย่างมาก ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนนี้จะยังคงอยู่ที่ระดับเดิมในปี 2564 และจะลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 10 เท่าในช่วงปี 2565-2566 ทริสเรทติ้งพิจารณาว่าภาระหนี้ของบริษัทอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตของบริษัทเมื่อดูจากโครงสร้างทางธุรกิจของบริษัทที่เป็นทั้งผู้รับเหมาก่อสร้าง และผู้ประกอบธุรกิจลงทุน ซึ่งภาระหนี้ของบริษัทจะลดลงได้อีกหากเงินให้กู้ยืมเพื่อสนับสนุนโครงการไซยะบุรีได้รับการชำระคืน

สภาพคล่องที่เพียงพอ

        ทริสเรทติ้ง ประเมินว่า บริษัทจะมีสภาพคล่องที่เพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดย ณ เดือนธันวาคม 2563 บริษัทมีเงินสดและเงินลงทุนชั่วคราวจำนวน 7.8 พันล้านบาทในขณะที่ภาระหนี้ที่จะถึงกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าประกอบด้วยเงินกู้ยืมระยะสั้นจำนวน 147 ล้านบาท เงินกู้ยืมระยะยาวจำนวน 672 ล้านบาท และหุ้นกู้อีกจำนวน 3 พันล้านบาท

        นอกจากนี้ สภาพคล่องของบริษัทยังมีปัจจัยสนับสนุนจากความยืดหยุ่นทางการเงินที่มาจากเงินลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนทั้ง 3 แห่งอีกด้วย โดย ณ สิ้นปี 2563 เงินลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนดังกล่าวมีมูลค่ายุติธรรมอยู่ที่ 6.2 หมื่นล้านบาทหรือประมาณ 1.4 เท่าของภาระหนี้รวมของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทมีแนวโน้มที่จะยังคงการถือหุ้นในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญในบริษัททั้ง 3 แห่งนี้ต่อไป

        บริษัทจำเป็นจะต้องรักษาอัตราส่วนทางการเงินให้สอดคล้องตามเงื่อนไขทางการเงินของหุ้นกู้โดยบริษัทจะต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นไม่ให้เกินกว่า 3 เท่า ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าว ณ เดือนธันวาคม 2563 อยู่ที่ระดับ 1.3 เท่า ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าบริษัทจะสามารถบริหารโครงสร้างทางการเงินให้สอดคล้องกับเงื่อนไขดังกล่าวต่อไปได้ในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

ทริสเรทติ้ง ตั้งสมมติฐานกรณีพื้นฐานสำหรับการดำเนินงานของบริษัทในระหว่างปี 2564-2566 ดังนี้

  • รายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาทในปี 2564 ประมาณ 3.4 หมื่นล้านบาทในปี 2565 และประมาณ 3.7 หมื่นล้านบาทในปี 2566
  • อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างจะคงอยู่ที่ประมาณ 8%
  • บริษัทจะได้งานรับเหมาก่อสร้างใหม่ๆ โดยมีมูลค่าเฉลี่ยรวมที่ 3 หมื่นล้านบาทต่อปี
  • เงินสนับสนุนให้กู้ยืมในโครงการไซยะบุรีจะยังคงมีอยู่ในช่วงหลายปีข้างหน้า
  • จะไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่หรือการสนับสนุนทางการเงินจำนวนมากแก่บริษัทที่เกี่ยวข้อง

แนวโน้มอันดับเครดิต

        แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันที่อยู่ในระดับสูงในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเอาไว้ได้ต่อไปโดยจะสามารถประมูลได้งานใหม่ๆ จากโครงการที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังจะเกิดขึ้นเพื่อเพิ่มระดับของมูลค่างานรับเหมาก่อสร้างในมือของบริษัทและบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินได้ตามที่ทริสเรทติ้ง ประมาณการไว้ ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายให้อยู่ในช่วง 8-10 เท่าเอาไว้ได้ในระยะยาวอีกด้วย

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

        การปรับเพิ่มอันดับเครดิตจะเกิดขึ้นได้หากบริษัทมีมูลค่างานรับเหมาก่อสร้างในมือจำนวนมากพอที่จะรักษาระดับรายได้ในอนาคตและสามารถสร้างผลกำไรได้มากกว่าที่ทริสเรทติ้งประมาณการซึ่งจะเห็นได้จากอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ลดลงและอยู่ต่ำกว่า 8 เท่าเป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่อง

        ในขณะที่ทริสเรทติ้งอาจจะมีการปรับลดอันดับเครดิตลงหากบริษัทไม่สามารถชนะการประมูลงานใหม่ ๆ ได้อย่างเพียงพอที่จะฟื้นฟูระดับรายได้และกำไรของบริษัทได้ นอกจากนี้ ปัจจัยที่จะส่งผลกดดันต่ออันดับเครดิตยังจะกิดจากการมีต้นทุนก่อสร้างในโครงการหลัก ๆ ที่สูงกว่าประมาณการอย่างมีนัยสำคัญ หรือบริษัทให้การสนับสนุนทางการเงินที่มีมูลค่าสูงแก่บริษัทในกลุ่มซึ่งจะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นเกินกว่า 13 เท่าเป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่อง

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561


บริษัท ช. การช่าง จำกัด (มหาชน) (CK)

อันดับเครดิตองค์กร:

A-

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

CK215A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,250 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564

A-

CK217A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 820 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564

A-

CK225A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,600 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565

A-

CK226A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565

A-

CK227A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 910 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565

A-

CK235B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,700 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566

A-

CK238A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566

A-

CK245A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,600 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567

A-

CK246B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567

A-

CK247A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567

A-

CK258A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568

A-

CK25NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568

A-

CK267A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,700 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569

A-

CK283A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 800 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571

A-

CK287A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,020 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571

A-

CK296A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572

A-

CK308A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2573

A-

หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาทและหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติม (Greenshoe) ในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 10 ปี

A-

แนวโน้มอันดับเครดิต:

Stable

 

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com  

ติดต่อ This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.  โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500

        © บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง

        ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

 

COREHOON

******************************************

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

FBS728

EXNESS

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!