DCORP ปรับโครงสร้างรุกธุรกิจอินโนเวชั่น ดึงผู้บริหารมืออาชีพเสริมทัพ พร้อมลุยพลังงาน-ดิจิตอล
DCORPปรับโครงสร้างและการบริหารบริษัท ชู 2 ธุรกิจหลัก เดินหน้าธุรกิจพลังงานภายใต้บริษัท ดีมีเตอร์ พาวเวอร์ จำกัด และธุรกิจใหม่ด้านดิจิตอล อินโนเวชั่นภายใต้ ดีมีเตอร์ อินโนเวชั่น จำกัดที่เตรียมพร้อมเปิด ‘แอพพลิเคชั่น ฟีนิกซ์ทีวี’ นำร่อง สอดรับกระแสไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในยุค4.0 ตั้งเป้ากินมาร์เก็ตแชร์กลุ่มดิจิตอล 50% จาก Live Streaming Platform ดึงผู้บริหารมืออาชีพที่มีประสบการณ์ สร้างฐานการเติบโตของธุรกิจ
นายอนิศ โอสถานุเคราะห์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีมีเตอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) DCORP เปิดเผยว่าขณะนี้DCORPได้ปรับโครงสร้างทางธุรกิจและการบริหารใหม่ด้วยการดึงบุคลากรผู้มีประสบการณ์เข้ามาร่วมทีมงานเพื่อสร้างรายได้และผลตอบแทนที่ดีขึ้นโดยแบ่งโครงสร้างการบริหารเป็น 2 หน่วยธุรกิจได้แก่ธุรกิจด้านพลังงานภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท ดีมีเตอร์ พาวเวอร์ จำกัด(DPOWER)และธุรกิจด้านดิจิตอล อินโนเวชั่น ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท ดีมีเตอร์ อินโนเวชั่น จำกัด (DINNOVATION )
“เราปรับโครงสร้างโดย DCORPจะเป็นบริษัทโฮลดิ้งที่มี 2 ธุรกิจหลักคือ DPOWER และ DINNOVATION เพื่อแสวงหาสร้างโอกาสและผลตอบแทนที่ดีให้กับบริษัทและผู้ถือหุ้น โดยการพิจารณาโครงการที่มีความเหมาะสมที่จะสอดรับกับสถานการณ์การค้าและการลงทุนที่โลกกำลังมุ่งเน้นไปสู่เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ด้วยทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในแต่ละด้านของธุรกิจมาร่วมงาน”นายอนิศกล่าว
สำหรับ โครงสร้างธุรกิจของ DCORP ประกอบด้วยบริษัทดีมีเตอร์ พาวเวอร์ จำกัดซึ่งเป็นธุรกิจด้านพลังงานทดแทนได้ปรับโครงสร้างการบริหารด้วยการแต่งตั้งนายจงผิง เฉิน หรือ Mr.Kavin Chen มาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ซึ่งนับเป็นบุคลากรที่มีประสบการณ์ที่หลากหลายผ่านการดำเนินงานหลายแห่ง เช่น ผู้จัดการส่วนภูมิภาคของรัฐวิสาหกิจ China Clean Energy ผู้จัดการภาคพื้นเอเชียของเซี่ยงไฮ้เอ็กโปกรุ๊ป ฯลฯ และเป็นที่ปรึกษาทางเทคนิคด้านวิศวกรรมในโครงการพัฒนาโรงไฟฟ้าในบริษัทชั้นนำจากต่างประเทศ และเป็นบุคคลที่มุ่งเน้นการแสวงหาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อปรับปรุงการใช้พลังงานทดแทนอย่างมีประสิทธิภาพ
“ธุรกิจพลังงานจะเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้สม่ำเสมอให้กับบริษัทในระยะยาว เนื่องจากมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่เป็นสัญญาระยะยาว ในขณะนี้ เรามีหุ้นในบริษัท อัครวัฒน์ พลังงานพืชหมุนเวียน จำกัด จำนวน 33 % ในโครงการโรงไฟฟ้าชีวภาพหรือไบโอแก๊ส ที่จ.สุพรรณบุรี ขนาดกำลังการผลิต 4.9 เมกะวัตต์ ซึ่งได้รับสัญญาการซื้อขายไฟฟ้า(PPA)รุ่นแรก คาดว่าจะเดินเครื่องในเชิงพาณิชย์ได้ประมาณกลางปี 2561 ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศฟิลิปปินส์ ขณะนี้อยู่ระหว่างรอการอนุมัติจากรัฐบาลฟิลิปปินส์ ส่วนธุรกิจติดตั้งระบบประหยัดพลังงานในอาคารหรือธุรกิจ ESCO มีความคืบหน้าตามลำดับ”นายอนิศกล่าว
สำหรับ บริษัท ดีมีเตอร์ อินโนเวชั่น จำกัด (DINNOVATION) เป็นการปรับโครงสร้างจากบริษัท ดีมีเตอร์ มีเดีย (Dmedia) จำกัด เดิมที่ประกอบธุรกิจเคเบิลทีวี ผ่านดาวเทียม ไปสู่ ธุรกิจดิจิตอลอินโนเวชั่น ที่สามารถสร้างรายได้และผลตอบแทนที่ดีในทันทีเมื่อมีการเข้าร่วมของเหล่าดีเจ ผู้ที่สนใจเข้าร่วมLIVE และดาวน์โหลดสติกเกอร์ของขวัญซึ่งสามารถดาวน์โหลดและติดตั้งได้ ทั้งแอพสโตร์(App Store)และเพลย์สโตร์(Play Store)ฟรี
ธุรกิจนี้สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่ชอบการสื่อสารผ่านสมาร์ทโฟน และอยู่ในโลกของโซเชียลเช่นการซื้อขายสินค้า การทำรายการ Reality ที่มีแฟนคลับเป็นจำนวนมาก โดยได้แต่งตั้งนายสรกฤต ลัทธิธรรม มาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ เนื่องจากเป็นผู้ทีมีความเชี่ยวชาญด้านการตลาดเป็นอย่างดีและมีประสบการณ์จากบริษัทชั้นนำของประเทศ โดยเฉพาะการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องดื่ม มีความพร้อมในการวางแผนศึกษาตลาดที่เข้าถึงเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญของการนำมาสู่การรุกตลาดดิจิตอล อินโนเวชั่น
“กลุ่มธุรกิจดิจิตอล อินโนเวชั่น จะแสวงหาคอนเทนท์ใหม่ๆ ที่มีการคิดค้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่ม Start-upที่มีไอเดียและมีอนาคต ให้สามารถดำเนินธุรกิจและเติบโตไปพร้อมกัน นโยบายในการดำเนินธุรกิจนับจากนี้ จะมุ่งเน้นสู่นวัตกรรมทั้งในด้านของพลังงานและดิจิตอล ซึ่งถือว่าเป็นตลาดที่กำลังเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ มั่นใจได้ว่าทีมผู้บริหารสามารถใช้ประสบการณ์ทั้ง 2 ธุรกิจ โดยคัดเลือกโครงการเพื่อการลงทุนจะทำให้บริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนมากกว่า 2 ดิจิต และเติบโตได้อย่างเข้มแข็ง เนื่องจากอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีอนาคตและสอดรับกับนโยบายการพัฒนาประเทศในยุค 4.0 ”นายอนิศ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัท ดีมีเตอร์ อินโนเวชั่น จำกัด ได้เข้าไปถือหุ้นในบริษัท บลูฟีนิกซ์ จำกัด จำนวน 30 % ใช้วงเงินรวมทั้งหมด 74.37 ล้านบาท โดยแบ่งการลงทุนเป็น 2 รูปแบบ คือ การซื้อหุ้นสามัญบริษัทบลู ฟีนิกซ์ฯ ในสัดส่วน 20% คิดเป็นมูลค่ารวม 49.37 ล้านบาท และการซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนในบริษัทบลู ฟีนิกซ์ฯ ในสัดส่วน 10% คิดเป็นมูลค่ารวม 25 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ได้มีการลงนามเซ็นต์สัญญาซื้อขายหุ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำหรับ บริษัท บลูฟีนิกซ์ฯ เป็นผู้พัฒนาฟินิกซ์ทีวี (Finix TV) ในรูปแบบการให้บริการ Live Streaming Platform โดยเป็นระบบเป็น Live TV Platform ผ่าน Internet ที่สามารถใช้ได้ทุกอุปกรณ์การสื่อสารและทุกระบบปฎิบัติการ ไม่ว่าเป็น Android, iOS และPC ซึ่งในกลุ่มธุรกิจนี้มีเป้าหมาย ที่จะกินส่วนแบ่งการตลาดของธุรกิจ Live TV Platform ให้ได้ 50% หรือประมาณ 1,700 ล้านบาท ในระยะเวลา 1 ปีหลังจากที่มีการเปิดให้บริการ และยังได้มองหาโอกาสการลงทุนเพิ่มในธุรกิจทางด้านนี้อย่างต่อเนื่อง