หมวดหมู่: พาณิชย์

1aaa1aอรมน FTA


FTA ดันไทยส่งออกไอศกรีมขยับขึ้นเบอร์สี่โลก

      กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เผย สิทธิประโยชน์ทางภาษีภายใต้ FTA และความหลากหลายของวัตถุดิบ ดึงผู้ผลิตไอศกรีมรายใหญ่ของโลกมาลงทุนในไทย ดันยอดส่งออกไอศกรีมไปตลาดคู่ FTA ปี 2563 โตกว่า 3% ไทยขยับขึ้นอันดับสี่ประเทศส่งออกไอศกรีมของโลก แนะผู้ประกอบไทยเร่งพัฒนาและยกระดับสินค้า

     นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า สินค้าไอศกรีมเป็นหนึ่งในธุรกิจที่น่าจับตามอง เนื่องจากช่วงหลายปีที่ผ่านมาอัตราการขยายตัวของการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และปรับตัวได้ดีท่ามกลางกระแสการค้าโลกที่มีความท้าทายสูง โดยมีความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เนื่องจากสินค้าไอศกรีมและน้ำแข็งอื่นๆ ที่บริโภคได้ ทุกรายการที่ส่งออกจากไทยได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าจาก 17 ประเทศคู่เอฟทีเอ ได้แก่ อาเซียน จีน เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย ชิลี เปรู และฮ่องกง เหลือเพียง ญี่ปุ่น ที่ยังเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไอศกรีมและน้ำแข็งอื่นๆ ที่บริโภคได้ที่ 21-29.8% 

      นางอรมน เพิ่มเติมว่า ในปี 2563 ไทยส่งออกไอศกรีมไปยังประเทศคู่เอฟทีเอมูลค่า 75.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 3% (85.1% ของการส่งออกไอศกรีมทั้งหมด) เมื่อเทียบกับปี 2562 โดยส่งออกไปอาเซียน 63.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 1% (มาเลเซียเป็นตลาดส่งออกหลัก ขยายตัว 24%) เกาหลีใต้ 5.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 275% ออสเตรเลีย 2.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 328% และฮ่องกง 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 11% นอกจากนี้ ในปี 2563 ไทยขยับอันดับขึ้นมาเป็นประเทศผู้ส่งออกไอศกรีมสูงเป็นอันดับที่ 4 ของโลก รองจากสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร และเป็นอันดับที่ 1 ในอาเซียนอีกด้วย

     “ในระยะยาว คาดว่าอุตสาหกรรมไอศกรีมของไทยมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น ด้วยศักยภาพการผลิตสินค้า ข้อได้เปรียบจากสิทธิประโยชน์ทางภาษีภายใต้ความตกลงการค้าเสรี ตลอดจนความอุดมสมบูรณ์ของวัตถุดิบที่หลากหลายส่งผลให้มีต้นทุนการผลิตต่ำ จึงถือว่าไทยมีความพร้อมที่จะก้าวไปเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมไอศกรีมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ ซึ่งปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตไอศกรีมรายใหญ่ของโลกต่างเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพื่อใช้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกไอศกรีมในภูมิภาค ทั้งนี้ ผู้ประกอบไทยควรให้ความสำคัญกับการรักษาคุณภาพมาตรฐานในการผลิต พัฒนาสินค้า คิดค้นรสชาติไอศกรีมที่เป็นเอกลักษณ์ อาทิ การเพิ่มส่วนผสมผลไม้เมืองร้อนกลุ่มมะพร้าว  มะม่วง ทุเรียน ไอศกรีมจากนมถั่วเหลือง ไอศกรีมไขมันต่ำ ไอศกรีมน้ำตาลน้อย ตลอดจนไอศกรีมที่มีส่วนผสมของสมุนไพรบำรุงสุขภาพ เพื่อสร้างจุดขายไอศกรีมไทยในกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่นิยมอาหารเพื่อสุขภาพ และทำให้ไอศกรีมของไทยเป็นที่รู้จักและครองใจผู้บริโภคในตลาดโลกยิ่งขึ้น”นางอรมน เสริม

เอฟทีเอ หนุนส่งออก 'ไอศกรีม' พุ่ง เผยปี 63 ไทยขยับขึ้นเป็นอันดับ 4 ของโลก

      กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเผยเอฟทีเอช่วยหนุนยอดส่งออก ไอศกรีม เติบโตต่อเนื่อง ปี 63 ส่งออกไปตลาดคู่เจรจาเอฟทีเอมูลค่า 75.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 3% คิดเป็นสัดส่วน 86.1% ของการส่งออกทั้งหมด แถมช่วยดันไทยขยับขึ้นเป็นอันดับที่ 4 ประเทศผู้ส่งออกไอศกรีมของโลก แนะผู้ประกอบการพัฒนาคุณภาพ มาตรฐาน ใช้ความได้เปรียบด้านวัตถุดิบ สร้างความหลากหลายให้สินค้า ป้อนความต้องการ   

               นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ติดตามการใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ของสินค้าต่างๆ โดยล่าสุดพบว่าไอศกรีมเป็นหนึ่งในสินค้าที่มีการขยายตัวของการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นสินค้าที่เอฟทีเอได้มีส่วนสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เนื่องจากสินค้าไอศกรีมและน้ำแข็งอื่นๆ ที่บริโภคได้ทุกรายการที่ส่งออกจากไทย ได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าจาก 17 ประเทศคู่เอฟทีเอแล้ว ได้แก่ อาเซียน จีน เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย ชิลี เปรู และฮ่องกง เหลือเพียงญี่ปุ่น เพียงประเทศเดียวที่ยังเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไอศกรีมและน้ำแข็งอื่นๆ ที่บริโภคได้ที่ 21-29.8%

        ทั้งนี้ ในปี 2563 ไทยส่งออกไอศกรีมไปยังประเทศคู่เอฟทีเอ มีมูลค่า 75.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 3% คิดเป็น 85.1% ของการส่งออกไอศกรีมทั้งหมดของไทย โดยส่งออกไปอาเซียน 63.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 1% มีมาเลเซียเป็นตลาดส่งออกหลัก เพิ่ม 24% เกาหลีใต้ 5.8 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 275% ออสเตรเลีย 2.3 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 328% และฮ่องกง 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 11%

       ขณะเดียวกัน ไทยยังขยับอันดับขึ้นมาเป็นประเทศผู้ส่งออกไอศกรีมสูงเป็นอันดับที่ 4 ของโลก รองจากสหภาพยุโรป สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร และเป็นอันดับที่ 1 ในอาเซียนในปี 2563 ด้วย

        นางอรมน กล่าวว่า ในระยะยาว คาดว่าอุตสาหกรรมไอศกรีมของไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น ด้วยศักยภาพการผลิตสินค้า ข้อได้เปรียบจากสิทธิประโยชน์ทางภาษีภายใต้ความตกลงการค้าเสรี ตลอดจนความอุดมสมบูรณ์ของวัตถุดิบที่หลากหลาย ส่งผลให้มีต้นทุนการผลิตต่ำ จึงถือว่าไทยมีความพร้อมที่จะก้าวไปเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมไอศกรีมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ และยังพบว่าปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตไอศกรีมรายใหญ่ของโลกต่างเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เพื่อใช้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกไอศกรีมในภูมิภาค

        “ผู้ประกอบไทยควรให้ความสำคัญกับการรักษาคุณภาพมาตรฐานในการผลิต พัฒนาสินค้า คิดค้นรสชาติไอศกรีมที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น การเพิ่มส่วนผสมผลไม้เมืองร้อนกลุ่มมะพร้าว มะม่วง ทุเรียน ไอศกรีมจากนมถั่วเหลือง ไอศกรีมไขมันต่ำ ไอศกรีมน้ำตาลน้อย ตลอดจนไอศกรีมที่มีส่วนผสมของสมุนไพรบำรุงสุขภาพ เพื่อสร้างจุดขายไอศกรีมไทยในกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่นิยมอาหารเพื่อสุขภาพ และทำให้ไอศกรีมของไทยเป็นที่รู้จักและครองใจผู้บริโภคในตลาดโลกยิ่งขึ้น”นางอรมนกล่าว

COREHOON

******************************************

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

FBS728

EXNESS

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!