ธปท. แจงกระแสโซเชียล เรื่องผลการดำเนินงานขาดทุน เหตุจากเงินบาทแข็งค่าทำให้ขาดทุนจากการตีราคา หรือทางบัญชีเท่านั้น วอนประชาชนอย่าตกใจข่าว ปัจจุบันมีทุนสำรองยังแกร่งถึง 2.15 แสนล้านดอลล์
นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายยุทธศาสตร์และความสัมพันธ์องค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เปิดเผยถึงกรณีมีกระแสข่าวผ่านทาง Social media เกี่ยวกับผลการดำเนินงานของธปท.ว่าขาดทุนนั้น ขอชี้แจงว่า กรณีที่เข้าไปซื้อเงินตราต่างประเทศนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วเกินไป และไม่ได้เป็นการเก็งกำไรค่าเงิน เพราะหากค่าเงินบาทแข็งค่าเร็ว อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยได้ ดังนั้น เมื่อธปท. ซื้อเงินตราต่างประเทศแล้ว ก็จะบริหารเงินสำรองระหว่างประเทศอย่างรอบคอบและคำนึงถึงผลประโยชน์ระยะยาว
นอกจากนี้ เงินสำรองระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากเงินตราต่างประเทศที่ไหลเข้ามาในประเทศไทยมาก ทั้งจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูงต่อเนื่องมาหลายปี และการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ ขณะเดียวกันเมื่อเงินสำรองเข้ามามาก ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น จึงเกิดการขาดทุนจากการตีราคา (valuation loss) หรือ การขาดทุนทางบัญชี และในทางตรงข้าม ถ้าเงินบาทอ่อนค่าลง เงินสำรองฯ ที่ตีมูลค่าเป็นเงินบาทก็จะเพิ่มขึ้น (valuation gain) หรือมีกำไรทางบัญชี
“โดยปกติเมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น ค่าเงินมีแนวโน้มแข็งขึ้น ธนาคารกลางก็มักจะขาดทุนจากการตีราคา แต่ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี ค่าเงินอ่อนค่าลง ส่งผลให้ธนาคารกลางมักจะมีกำไรจากการตีราคา”นางจันทวรรณ กล่าว
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธปท. ได้กล่าวในงานบุญประเพณี ผ้าป่า 12 เมษา สืบหน่อต่อแขนงคลังหลวง บูชาพระคุณองค์หลวงตา” ซึ่งเป็นโครงการที่หลวงตามหาบัวได้ส่งมอบทองคำให้กับธปท. เพื่อเป็นทุนสำรองเงินตรา หรือ คลังหลวง ทุกปี นับตั้งแต่ปี 2541 จนถึงปัจจุบัน รวม 23 ครั้ง มีทองคำทั้งสิ้น 1,091 แท่ง น้ำหนักรวม 13.04 ตัน และเงินดอลลาร์ 10.46 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งการมอบทองคำดังกล่าว เป็นไปตามเจตนารมย์ของพ่อแม่ ครูอาจารย์ และคณะศิษยานุศิษย์ และผู้บริจาค เพื่อสมทบไว้ในบัญชีสำรองพิเศษของทุนสำรองเงินตราเพื่อเป็นสมบัติของชาติ
สำหรับ ปัจจุบัน ธปท.มีทุนสำรอง 215,600 ล้านดอลลาร์ จากสิ้นปี 2560 ที่ 240,000 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้น 3.5 เท่า และสูงกว่าหนี้ต่างประเทศทั้งหมด ส่วนการดูแลความมั่นคงด้านต่างประเทศ หรือ ดูมูลค่าของเงินสำรองฯ ต้องดูในรูปเงินตราต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาเกิดความเข้าใจผิดเมื่อเห็นผลขาดทุนในงบดุลของธปท.ในรูปเงินบาท และอาจเข้าใจว่าเงินสำรองหาย เมื่อพบว่า สำรองที่แปลงค่าเป็นสกุลเงินบาทลดลงไปมาก ซึ่งจริงๆแล้ว มูลค่าเงินสำรองในรูปเงินบาทจะเปลี่ยนแปลงตามอัตราแลกเปลี่ยนในแต่ละช่วงเวลา เช่น ถ้าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 1 บาทต่อดอลลาร์ เงินสำรองที่ตีราคาเป็นเงินบาทจะลดลง 215,600 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขาดทุนจากการตีราคา รวมทั้งส่งผลให้ธปท.ขาดทุนจากการตีราคา แต่ในทางกลับกันหากเงินบาทอ่อนค่า 1 บาท ก็ดูเหมือนว่าเงินสำรองจะเพิ่มขึ้นในระดับเดียวกัน
“ปกติเมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ธปท.มัจะขาดทุนจากการตีราคาของเงินสำรอง ในทางตรงกันข้าม หากเศรษฐกิจไม่ดี ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงธปท.จะมีกำไรจากการตีราคา ซึ่งขอยืนยันว่า ตัวเลขผลการขาดทุนของธนาคารกลางไม่ได้สำคัญเท่ากับมูลค่าของเงินสำรองในรูปเงินตราต่างประเทศที่มีอยู่จริง เพื่อใช้เป็นกันชนรองรับความผันผวนจากเศรษฐกิจโลก” นายวิรไท กล่าว