คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้

      1. เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ที่ 2385 (ค.ศ. 2017) เกี่ยวกับสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียและรัฐเอริเทรีย

       2. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม (กห.) กระทรวงการคลัง (กค.) กระทรวงคมนาคม (คค.) กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) สำนักข่าวกรอบแห่งชาติ (สขช.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ถือปฏิบัติ พร้อมทั้งปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการลงโทษสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียและรัฐเอริเทรียให้ทันสมัยตามข้อมูลเว็บไซต์ของสหประชาชาติ (United Nations : UN) (https://www.un.org/sc/suborg/en/sanctions/751) ทั้งนี้ UN จะปรับปรุงรายชื่อบุคคลและองค์กรที่ถูกมาตรการลงโทษภายใต้หัวข้อ 'Sanctions List Materials'

สาระสำคัญของเรื่อง

กต. รายงานว่า

       1. สถานการณ์ให้สหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียยังมีความอ่อนไหวและไร้เสถียรภาพ โดย UNSC ได้มีมติให้คงมาตรการลงโทษต่อสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย ซึ่งรวมมาตรการลงโทษทางอาวุธ การห้ามเดินทาง การอายัดทรัพย์สิน และเพิ่มมาตรการห้ามนำเข้าถ่านไม้จากสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียเนื่องจากรายได้จากการดำเนินการดังกล่าวถูกใช้สนับสนุนสถานการณ์ความไม่สงบในสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย และต่อมา UNSC ได้มีมาตรการบังคับใช้ต่อรัฐเอริเทรีย ซึ่งประกอบด้วย มาตรการลงโทษทางอาวุธ การห้ามเดินทาง และการอายัดทรัพย์สินต่อบุคคลและองค์กรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความไม่สงบในสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียและภูมิภาค เนื่องจาก UNSC มีข้อมูลว่า รัฐบาลเอริเทรียมีส่วนสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบั่นทอนเสถียรภาพของสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียและภูมิภาค

     2. โดยที่สถานการณ์ความไม่สงบดังกล่าวยังคงดำเนินอยู่ UNSC จึงได้รับรองข้อมติฯ ที่ 2385 (ค.ศ. 2017) เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 เพื่อต่ออายุมาตรการลงโทษทางอาวุธสำหรับสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียและรัฐเอริเทรียออกไปจนถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2561

       ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561