หมวดหมู่: บทวิเคราะห์
ASIAwealth
บล.เอเชีย เวลท์ : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน  
 
ปัจจัยลบอาจกลับมาป่วนตลาดได้อีก
          ตลาดหุ้นไทยวันนี้ : ตลาดหุ้นไทยวานนี้ไม่สามารถฟื้นกลับมาสดใสได้ เปิดสูงและปิดต่ำ ส่งผลให้เกิดความน่าวิตกกังวลตลาดจะปรับตัวลงต่อในวันนี้ อีกทั้งปัจจัยที่เร่งให้เกิดการไหลออกของเงินจากตลาดหุ้น ซึ่งเคยสงบลงไปก็กลับมาสร้างความตื่นตระหนกอีก หลังมีบทสรุปการประชุมเฟด 25-26 ก.ย.61 ออกมา พบว่าเฟดจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกในเดือน ธ.ค.นี้ และมีแผนจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปี 2562 ทำให้ U.S. Bond Yield 10 ปี ของสหรัฐฯ ปรับขึ้นมาที่ 3.20% อีกหลังจากที่ปรับตัวลงไปที่ 3.15% แล้ว ขณะที่ค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนจาก U.S. Dollar Index ก็ปรับตัวขึ้นมาเป็น 95.66 ทั้งที่อ่อนตัวลงไป 95.09 ในช่วงก่อนหน้านี้ ราคาน้ำมันก็ปรับตัวลงรุนแรงเนื่องจากสต๊อกน้ำมันสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นเกินคาดหลายสัปดาห์ติดต่อกัน คาดว่าปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นจะลดความคึกคักลง มีหุ้นขนาดใหญ่เข้าตลาดเมื่อวานนี้คือ OSP ที่ดูดเม็ดเงินของกองทุนออกไป และวันนี้ก็มีหุ้นเข้าใหม่คือ BGC การลงทุนวันนี้ เราให้กรอบดัชนี 1,685-1,705 จุด หุ้นแนะนำ MEGA, WHA, TOP
 
Stock        Comment 
MEGA      Pick of the day 
WHA       (ปิด 4.28 บาท; ซื้อ; AWS TP 4.70 บาท) จ่อปิดดีล "อาลีบาบา" เช่าคลังสินค้าล็อตใหญ่กว่า 130,000 ตารางเมตร คาดเซ็นสัญญาในเร็ว ๆ นี้ พร้อมเร่งเจรจาขายที่ดินอีก 300 ไร่ภายใน ต.ค.นี้ หนุนยอดขายที่ดินปีนี้เข้าเป้า 1,400 ไร่ ในขณะที่ไตรมาส 4/61 คาดมีกำไรจากการนำสินทรัพย์ขายเข้ากอง REIT 
TOP       (ปิด 85.75 บาท; ซื้อ; AWS TP 101 บาท) ได้ประโยชน์มากสุดจากการที่ PX Spread ในไตรมาส 3/61 เพิ่มขึ้น 61%QoQ แม้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง แต่คาดว่าน่าจะส่งผลให้ค่าการกลั่นน้ำมันดีเซลปรับตัวดีขึ้นได้เมื่อต้นทุนน้ำมันดิบปรับตัวลง
 
หุ้นเด่นวันนี้ : MEGA (ราคาปิด 37.50 บาท; ซื้อ; AWS TP 46.00 บาท)
           เราชื่นชอบ MEGA จาก Pipeline ผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัทที่แข็งแกร่งมาก ด้วยจำนวน 68 ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่กำลังอยู่ในระหว่างการจดทะเบียน และ 61 ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา ทำให้เราคาดว่าจะเห็นการออกผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องนับจากนี้ นอกจากนี้ บริษัทวางแผนที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่จำนวนทั้งหมด 6-7 ผลิตภัณฑ์ในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเราคาดกำไรรายไตรมาสในปี 2561 ของ MEGA จะแตะระดับสูงสุดในไตรมาส 4/61 นี้ หนุนโดยช่วงไฮซีซั่นของการจับจ่ายใช้สอย การออกสินค้าใหม่ และการบริโภคในครัวเรือนของประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น เราประมาณการ EPS ปกติจะเติบโต 8.1% ในปี 2561 และ 16.5% ในปี 2562 
           Price Pattern ของ MEGA ยังคงมีแนวโน้มหลักอยู่ในแนวโน้มขาลง (Downtrend) จากการเกิดทั้ง Weekly & Monthly Sell Signal โดย Price Pattern ของ MEGA เริ่มกลับมาเกิดความแข็งแกร่งระยะสั้นจากการเกิด Daily Buy Signal และหาก Price Pattern ของ MEGA สามารถปิดตลาดรายสัปดาห์เหนือ 37.25 บาท ก็จะกลับมาเกิดความแข็งแกร่งระยะกลางเพิ่มขึ้นจากการกลับมาเกิด Weekly Buy Signal ครั้งใหม่ เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ MEGA มีเป้าหมายเบื้องต้นอยู่ที่ 39.25 บาท ซึ่งหาก Price Pattern ของ MEGA มีความแข็งแกร่งมากพอ โดยสามารถ Break ด้วยการปิดตลาดเหนือ 39.25 บาทได้สำเร็จ ก็จะมีเป้าหมายถัดไปอยู่ที่ 40.75 บาท และมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ 42.25 บาท ตามลำดับ ทั้งนี้ MEGA มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 36.50 บาท (Resistance: 38.00, 38.50, 39.00; Support: 37.25, 36.75, 36.25)
 
ปัจจัยในประเทศ :
 
AQ (ปิด 0.04 บาท; IAA Consensus NA) จากงานประมูลขายทอดที่ดิน AQ เมื่อวานนี้ บริษัทได้ทำการขายทอดหลักประกันที่ดินจำนวน 4,300 ไร่ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คิดเป็นมูลค่า 8.9 พันล้านบาท โดยผู้ซื้อได้แก่ บริษัท ทีอาร์เอ แลนด์ ดีเวลลอปเมนต์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง TICON (ปิด 16 บาท; IAA Consensus 19 บาท) ROJNA (ปิด 5.75 บาท; IAA Consensus 7.50 บาท) และบริษัท นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย จำกัด (SET/ข่าวหุ้น) ความเห็น: ปัจจัยดังกล่าวจะให้ Sentiment เชิงบวกต่อ KTB (ปิด 20.30 บาท; ถือ; AWS TP 20.40 บาท) ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของ AQ โดยมีมูลหนี้จำนวนที่เหลือราว 8.3 พันล้านบาท โดยเมื่อปีที่แล้ว AQ ได้ชำระหนี้ไปแล้วบางส่วนจำนวน 1.64 พันล้านบาท ซึ่งเราคาดว่าบริษัทจะชำระหนี้จำนวนที่เหลือในไตรมาส 1/62 หากทุกอย่างเป็นไปตามคาด KTB อาจมีการบันทึกกลับเป็นกำไรทั้งจำนวน 1 หมื่นล้านบาทในปีหน้า ซึ่งจะเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2562 ของเรา 13% อย่างไรก็ตาม เราคาดธนาคารจะนำกำไรส่วนหนึ่งไปตั้งสำรองสำหรับพื้นที่ดังกล่าว บริษัท ทีอาร์เอ แลนด์ ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของ TICON, ROJNA, และ นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย จะนำไปพัฒนาเพื่อสร้างนิคมอุตสาหกรรม และคลังสินค้าให้เช่า โดยคาดว่าจะหนุนรายได้ของบริษัทอย่างมาก เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวถือว่าอยู่ในจุดที่เป็นยุทธศาสตร์ที่ดี คือ ติดถนนบางนา-ตราด และถนนมอเตอร์เวย์กรุงเทพ-ชลบุรี สามารถเชื่อมไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ และต่อไปยังเขตพื้นที่ EEC ได้สะดวก
อนุมัติส่วนต่อขยายเหลือง-ชมพู คจร.อนุมัติส่วนต่อขยายสายสีเหลือง เพื่อเชื่อมกับสายสีเขียวที่สถานีพหลโยธิน มูลค่า 3.77 พันล้านบาท และสายสีชมพูเข้าเมืองทองธานี มูลค่า 3.37 พันล้านบาท (bangkokpost)
ผลสำรวจดัชนีความสามารถทางการแข่งขันระดับโลก 4.0 ประจำปี 2561 ของ World Economic Forum หรือ WEF  ซึ่งได้ทำการสำรวจจาก 140 ประเทศทั่วโลก พบว่า อเมริกาขึ้นมาอยู่อันดับที่ 1 ของโลก รองลงมาเป็นสิงคโปร์ เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และญี่ปุ่น ส่วนประเทศไทยอยู่อันดับที่ 38 ของโลก ดีขึ้นจากอันดับที่ 40 เมื่อปีที่แล้ว (Bangkok Post) ความเห็น: ประเทศไทยมีอันดับดีขึ้น โดยเฉพาะด้านระบบการเงิน ไทยติดอันดับที่ 14 ของโลก จากความมีเสถียรภาพ มีปัจจัยความพร้อมของเงินทุนและปัจจัยที่เกี่ยวข้อง การให้สินเชื่อ ผลิตภัณฑ์การเงินประเภทต่างๆ รวมทั้งระบบในการลดและกระจายความเสี่ยงทางด้านการเงิน เช่น วงเงินสินเชื่อที่มีให้กับภาคเอกชน การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของธุรกิจ SMEs และ Startups รวมถึง เสถียรภาพของธนาคารพาณิชย์ 
ตลาดต่างประเทศ :
 
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ : ดาวโจนส์ -91.74 จุด หรือ -0.36% ขณะที่ดัชนี S&P500 -0.71 จุด หรือ -0.03% และดัชนี Nasdaq -2.79 จุด หรือ -0.04% หลังรายงานประชุมเฟดส่งสัญญาณเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย ทำให้นักลงทุนกังวลว่า ต้นทุนการกู้ยืมที่ปรับตัวสูงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน หุ้นกลุ่มธนาคารได้ปัจจัยหนุนจากการส่งสัญญาณเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยบรรดาบริษัทในดัชนี S&P 500 ซึ่งได้รายงานผลประกอบการในไตรมาส 3/61 แล้ว จำนวนราว 90% ได้รายงานผลประกอบการที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ 
รายงานผลการประชุม FOMC ครั้งที่ผ่านมา: ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 25-26 ก.ย.ที่ผ่านมา คณะกรรมการเฟดมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 2.00-2.25% พร้อมกับส่งสัญญาณว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. หลังจากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค., มิ.ย. และในเดือน ก.ย. ซึ่งจะส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 4 ครั้งในปีนี้ ส่วนในปีหน้า เฟดยังคงส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้ง เฟดได้คงคาดการณ์ตัวเลขเงินเฟ้อในปีนี้ที่ระดับ 2.10% และปรับลดตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อในปีหน้าสู่ระดับ 2.0% จากเดิมที่ระดับ 2.1% และคาดการณ์ตัวเลขเงินเฟ้อในปี 2563 และปี 2564 ที่ระดับ 2.1% ส่วนตัวเลขเงินเฟ้อระยะยาวยังคงอยู่ที่ระดับ 2.0%
สินค้าโภคภัณฑ์ :
 
ราคาน้ำมันดิบ : WTI ร่วงลง 2.17 ดอลลาร์ หรือ 3% ปิดที่ 69.75 ดอลลาร์/บาร์เรล เบรนท์ ลดลง 1.36 ดอลลาร์ หรือ 1.7% ปิดที่ 80.05 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 6.5 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 12 ต.ค. ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 2.2 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 2 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.52 ล้านบาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นลดลง 800,000 บาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.5 ล้านบาร์เรล          นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ซาอุดีอาระเบียอาจลดกำลังการผลิตน้ำมัน 500,000 บาร์เรล/วัน เพื่อเป็นการตอบโต้ต่อมาตรการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ หรือจากประเทศอื่น ๆ
ราคาทองคำ : ลดลง 3.60 ดอลลาร์ หรือ 0.3% ปิดที่ 1,227.40 ดอลลาร์/ออนซ์ ดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น จะลดความน่าดึงดูดของทองคำ โดยทำให้ทองคำมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น
          
Thailand Research Department
          Vajiralux Sanglerdsillapachai (No.17385) Tel: 0-2680-5077
          Krit Suwanpibul (No.17968) Tel: 0-2680-5090
          Adisak Prombun (No.14543) Tel: 0-2680-5056
          Veeraya Rattanaworatip (No.86645) Tel: 0-2680-5042
          Nutchapol Cheevavichawalkul (No.46377) Tel: 0-2680-5094
OO15175

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!