หมวดหมู่: บริษัทจดทะเบียน

TRIS7 7


ทริสเรทติ้ง ยกเลิก 'เครดิตพินิจ'แนวโน้ม 'Negative'’บ. โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา'และกำหนดแนวโน้ม 'Negative'

      ทริสเรทติ้ง ยกเลิก 'เครดิตพินิจ' แนวโน้ม Negative' หรือ 'ลบ' ที่ให้ไว้แก่อันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ของ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) พร้อมทั้งประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทที่ระดับ A’ ในขณะเดียวกันยังกำหนดแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น Negative’ หรือ ‘ลบ’ ด้วย

      ทั้งนี้ แนวโน้มอันดับเครดิต'Negative'หรือ 'ลบ'สะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งว่าบริษัทยังคงจะต้องเผชิญกับความ

        ท้าทายในการดำเนินงานต่อไปในช่วงปี 2563-2564 เนื่องจากทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจโรงแรมจะยังคงได้รับผลกระทบจากข้อจำกัดต่างๆ ในเรื่องการเดินทางต่อไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งก่อให้เกิดความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรม ในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เป็นผลจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ก็คาดว่าจะส่งผลให้การเติบโตของธุรกิจร้านอาหารของบริษัทเป็นไปได้ช้ากว่าที่ควรจะเป็นในระยะเวลาอันใกล้นี้

      อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารบริการด่วน ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญในปี 2563 แต่จะสามารถกลับไปที่ระดับเดียวกับช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในระยะ 18-24 เดือนข้างหน้าโดยเป็นผลจากความสามารถในการฟื้นตัวของธุรกิจร้านอาหารและความพยายามในการลดต้นทุนของบริษัท นอกจากนี้ การที่บริษัทมีภาระหนี้ในระดับที่ไม่สูงในช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 รวมทั้งการชะลอแผนการลงทุนบางส่วนออกไปนั้นก็ทำให้ทริสเรทติ้งคาดว่า ระดับภาระหนี้สินของบริษัทจะกลับสู่ระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตปัจจุบันของบริษัทได้ในปี 2564 นอกจากนี้ บริษัทยังได้สำรองสภาพคล่องให้อยู่ในระดับที่จะช่วยให้บริษัทสามารถเผชิญกับความท้าทายในการดำเนินงานและความเสี่ยงด้านสภาพคล่องในระยะ 12-24 เดือนข้างหน้าได้อีกด้วย

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

การฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมสู่ระดับก่อนวิกฤติโรคโควิด 19 ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 24 เดือน

       ธุรกิจโรงแรมเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 มาตรการจำกัดการเดินทางทั่วโลกส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 แม้ว่าหลายประเทศจะเริ่มผ่อนคลายมาตรการปิดเมืองและเริ่มเปิดประเทศในระดับหนึ่งแล้ว แต่มาตรการจำกัดการเดินทางจะยังคงมีอยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่งและมีความเข้มงวดต่างกันไป ความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในการเดินทางทางอากาศอาจเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของการเดินทางโดยเครื่องบินโดยสารระหว่างประเทศที่ใช้เวลานานหลายชั่วโมงในระยะเวลาหลายไตรมาสข้างหน้า

      นอกจากความวิตกกังวลด้านสุขภาพแล้ว ยังมีประเด็นที่ปริมาณเที่ยวบินจะลดลงอย่างมาก ซึ่งอาจเป็นปัจจัยขัดขวางการฟื้นตัวอีกด้วยเนื่องจากธุรกิจการบินที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงนั้นต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว ดังนั้น เมื่อพิจารณาผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่หดตัวซึ่งส่งผลต่ออุปสงค์ในการเดินทางแล้ว ทริสเรทติ้งประเมินว่าธุรกิจโรงแรมจะใช้เวลาอย่างน้อย 24 เดือนในการที่จะเห็นอุปสงค์ของบริการด้านโรงแรมฟื้นตัวกลับมาอยู่ในระดับเท่ากับช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19

       ภายใต้สมมติฐานพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่ารายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPAR) ของโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของจะลดลงประมาณ 60% ในปี 2563 และจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2564 แต่ก็ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าในปี 2562 อยู่ประมาณ 25% ส่วนในปี 2565 นั้น รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนจะอยู่ในระดับต่ำกว่าปี 2562 ประมาณ 10% ทั้งนี้ สมมติฐานดังกล่าวคำนึงถึงการที่โรงแรมของบริษัทส่วนใหญ่ค่อนข้างกระจุกตัวอยู่ในประเทศไทยและพึ่งพานักท่องเที่ยวในภูมิภาคค่อนข้างสูงโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งการกลับมาของนักท่องเที่ยวขึ้นจะอยู่กับเงื่อนไขข้อจำกัดต่างๆ ในการเดินทางเข้าประเทศ ซึ่งก็ยังมีความไม่แน่นอนสูงจากสถานการณ์ของโรคระบาดที่ดำเนินอยู่ทั่วโลกในขณะนี้ นอกจากนี้ โรงแรมใหญ่ๆ ที่รองรับการจัดประชุมสัมมนา เช่น โรงแรม เซ็นทาราแกรนด์ ที่เซ็นทรัลเวิลด์ และ โรงแรม เซ็นทาราแกรนด์ ที่เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ จะได้รับผลกระทบจากการหายไปของกลุ่มประชุมสัมมนาขนาดใหญ่อย่างน้อยในอีก 12 เดือนข้างหน้าด้วยเช่นกัน

ธุรกิจร้านอาหารมีความยืดหยุ่น

               ธุรกิจร้านอาหารของบริษัทเองก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโรคโควิด 19 อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมองว่าธุรกิจร้านอาหารมีความยืดหยุ่นและสามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่าธุรกิจโรงแรม

               ทริสเรทติ้ง ประมาณการว่ารายได้ของบริษัทจากธุรกิจร้านอาหารจะลดลงประมาณ 15% ในปี 2563 จากช่วงเดียวกันในปีก่อนและในปี 2564 จะกลับสู่ระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของธุรกิจร้านอาหารของบริษัทจะอยู่ที่ 1.2-1.3 หมื่นล้านบาทต่อปีในปี 2564-2565 โดยการคาดการณ์ดังกล่าวคำนึงถึงผลการดำเนินงานที่ยังอยู่ในระดับดีของแบรนด์หลักของบริษัทอย่างเช่น ‘เคเอฟซี’ ซึ่งทั้งรายได้และกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของธุรกิจอาหารของบริษัทมากกว่าครึ่งหนึ่งมาจากร้านเคเอฟซี นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังมองว่ารายได้ของธุรกิจร้านอาหารจะมาจากการขยายสาขาใหม่เป็นหลักเนื่องจากระดับของยอดขายต่อสาขาจะยังคงได้รับแรงกดดันจากทั้งการแข่งขันที่รุนแรงและภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่อไปอีกในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า

               นอกจากแบรนด์หลักอื่นๆ อีก 4 แบรนด์ ได้แก่'มิสเตอร์โดนัท''อานตี้ แอนส์เปปเปอร์ลัช'และ 'โอโตยะ'ซึ่งรวมกันคิดเป็นประมาณ 30% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของธุรกิจอาหารแล้ว บริษัทยังได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาแบรนด์ของตนเอง เช่น “เดอะ เทอเรส’’สุกี้ เฮ้าส์’ และ ‘อร่อยดี’ อีกด้วย อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงความสำเร็จในการพัฒนาตราสินค้าร้านอาหารที่เป็นของบริษัทเองได้ในเวลานี้

การลดต้นทุนเพื่อรักษาระดับรายได้

               ทริสเรทติ้ง คาดว่ายอดขายของบริษัทจะลดลงอย่างมากในปีนี้ แต่จะปรับตัวดีขึ้นในปี 2564-2565 ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทได้รับแรงหนุนจากความพยายามในการลดต้นทุนหลากหลายรูปแบบของบริษัทเป็นสำคัญ

               ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทในปี 2563 จะลดลงราว ๆ 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจะปรับดีขึ้นในปี 2564 แต่ก็ยังต่ำกว่าในปี 2562 ประมาณ 10% และคาดว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 2.15 หมื่นล้านบาทในปี 2565 ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากธุรกิจร้านอาหารเป็นหลัก

               ในขณะที่กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทคาดว่าจะลดลงมากกว่ารายได้ที่ลดลงในปี 2563 ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าประมาณ 50% โดยมาอยู่ที่ประมาณ 3 พันล้านบาท อย่างไรก็ดี ทริสเรทติ้งคาดว่ากำไรของบริษัทจะปรับดีขึ้นเป็นอย่างมากในปี 2564-2565 จากการที่มาตรการในการลดต้นทุนต่างๆ ของบริษัทปรากฏผลอย่างเต็มที่

ทั้งนี้ บริษัทได้ใช้มาตรการหลายอย่างในการลดต้นทุนทั้งในธุรกิจโรงแรมและธุรกิจร้านอาหาร เช่น การปรับสัดส่วนของพนักงานประจำและพนักงานชั่วคราวให้สามารถตอบสนองต่อความท้าทายในการปฏิบัติงานได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการเจรจาต่อรองกับผู้ให้เช่าสถานที่และคู่ค้าเพื่อให้ได้เงื่อนไขสัญญาที่ดีขึ้น ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 5.4 พันล้านบาทในปี 2564 และ 6.3 พันล้านบาทในปี 2565

ภาระหนี้ในระดับที่ไม่สูงก่อนช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ช่วยสนับสนุนสถานะการเงิน

               การที่บริษัทมีภาระหนี้ในระดับที่ไม่สูงในช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และการชะลอแผนการลงทุนบางส่วนออกไปนั้นคาดว่าน่าจะทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงเพียงชั่วคราวและจะกลับไปอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตปัจจุบันของบริษัทในปี 2564

               ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ประมาณ 5.8 เท่าในปี 2563 เมื่อเทียบกับ 2.3 เท่าในปี 2562 อย่างไรก็ดี การที่บริษัทมีการชะลอแผนการลงทุนบางส่วนออกไปรวมถึงการคาดการณ์เรื่องการฟื้นตัวของรายได้ทำให้ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะลดลงและจะคงระดับอยู่ที่ประมาณ 3.3-3.6 เท่าในปี 2564-2565 ทั้งนี้ บริษัทได้ปรับลดแผนการลงทุนลงเหลือประมาณ 4-5 พันล้านบาทต่อปีสำหรับปี 2563-2564 เมื่อเทียบกับแผนเดิมของบริษัทที่ประมาณ 8.5-9.5 พันล้านบาทต่อปีในช่วงเวลาดังกล่าว และคาดว่างบลงทุนของบริษัทในปี 2565 จะอยู่ที่ประมาณ 5-6 พันล้านบาท โดยที่บริษัทยังสามารถปรับแผนการลงทุนได้อีกหากมีความจำเป็น

มีการเตรียมการด้านสภาพคล่องที่ดี

               บริษัทได้มีการเตรียมการในหลายระดับเพื่อที่จะรักษาสถานะสภาพคล่องให้มีความแข็งแกร่ง ทริสเรทติ้งมองว่าหากการดำเนินงานของบริษัทฟื้นตัวตามที่คาดการณ์ไว้ ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทจะสามารถยืนหยัดผ่านพ้นช่วงที่ธุรกิจถดถอยนี้ไปได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2563-2564

               ทั้งนี้ แหล่งสภาพคล่องหลักของบริษัทมาจากเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดในมือจำนวนประมาณ 2.3 พันล้านบาท ณ เดือนมีนาคม 2563 ตลอดจนวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่เบิกใช้ประมาณ 5 พันล้านบาท และเงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 2.5 พันล้านบาทในปี 2563 และที่ระดับประมาณ 4.7 พันล้านบาทในปี 2564

               ในขณะที่บริษัทมีภาระหนี้สินทางการเงินที่จะครบกำหนดชำระในช่วงที่เหลือของปี 2563 รวมประมาณ 1.1 พันล้านบาท รวมทั้งยังมีภาระผูกพันในสัญญาเช่าดำเนินงานอีกประมาณ 2 พันล้านบาท และมีแผนการลงทุนอีกประมาณ 3-4 พันล้านบาท ส่วนในปี 2564 นั้น บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระรวมประมาณ 2.4 พันล้านบาท มีภาระผูกพันในสัญญาเช่าดำเนินงานประมาณ 2-2.5 พันล้านบาท และมีแผนการลงทุนประมาณ 4-5 พันล้านบาท

               ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดหวังให้บริษัทยังคงสำรองเงินสดและรักษาสภาพคล่องให้เพียงพอที่จะรับมือกับภาวะความเสี่ยงในการดำเนินงานที่อยู่ในระดับสูงและมีความยืดหยุ่นทางการเงินอย่างเพียงพอ

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

  • รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนของโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของจะลดลงประมาณ 60% ในปี 2563 และจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2564 แต่ก็ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าในปี 2562 อยู่ประมาณ 25% ส่วนในปี 2565 นั้น รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนจะอยู่ในระดับต่ำกว่าปี 2562 ประมาณ 10%
  • รายได้จากธุรกิจร้านอาหารจะลดลงประมาณ 15% ในปี 2563 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน และจะอยู่ที่ 1.2-1.3 หมื่นล้านบาทต่อปีในปี 2564-2565
  • รายได้ของบริษัทในปี 2563 จะลดลงราว ๆ 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจะปรับดีขึ้นในปี 2564 แต่ก็ยังต่ำกว่าในปี 2562 ประมาณ 10% และจะอยู่ที่ประมาณ 2.15 หมื่นล้านบาทในปี 2565
  • กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจะลดลงประมาณ 50% มาอยู่ที่ 3 พันล้านบาทในปี 2563 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน และจะอยู่ที่ประมาณ 5.4 พันล้านบาทในปี 2564 และ 6.3 พันล้านบาทในปี 2565
  • แผนการลงทุนของบริษัทจะอยู่ที่ 4-5 พันล้านบาทต่อปีในปี 2563-2564 และ 5-6 พันล้านบาทในปี 2565

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต 'Negative'หรือ 'ลบ' สะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งว่าผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงินของบริษัทจะยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันต่อไปในปี 2563-2564 เนื่องจากการฟื้นตัวของธุรกิจจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยทั่วโลกนั้นยังคงมีความไม่แน่นอนในระดับสูง

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

               แนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับเปลี่ยนมาเป็น 'Stable'หรือ'คงที่' หากผลการดำเนินงานของบริษัทฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและบริษัทสามารถดำรงสถานะสภาพคล่องเอาไว้ได้อย่างเพียงพอที่จะรองรับภาวะผันผวนใด ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับลดลงหากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 มีความรุนแรงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ หรือคุณภาพเครดิตของบริษัทเสื่อมถอยลงกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดไว้จนทำให้บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายอยู่ในระดับที่สูงเกินกว่า 4 เท่าอย่างต่อเนื่อง หรือสถานะสภาพคล่องของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีสาระสำคัญ

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561

บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) (CENTEL)

อันดับเครดิตองค์กร: A

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

CENTEL218A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 980 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 A

CENTEL229A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A

CENTEL239A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A

CENTEL24OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 600 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A

CENTEL269A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 A

แนวโน้มอันดับเครดิต: Negative

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com

ติดต่อ This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500

          บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2563 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้

           ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

COREHOON

******************************************

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

Forex Exness1

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!